ชาตินี้ ขออย่าให้เจอะเจอกันอีกเลย

1468 Words
“โรงแรมอธีนาค่ะ” หญิงสาวอ่านตามกระดาษในมือ ด้วยน้ำเสียงสดใส ภาษากรีซของเธอฟังดูไม่เลวนัก “มันตั้งอยู่บนถนน...” “ไม่มีปัญหาครับคุณผู้หญิง กระผมจะพาคุณไปเดี๋ยวนี้” โชคดีจัง ดูเหมือนแท็กซี่จะรู้จักที่นั่นเป็นอย่างดี “ขอบคุณค่ะ” แล้วรถคันงามก็พาหญิงสาวเดินทางผ่านความงดงามของตึกสวยและอาคารเก่าแก่สุดวิจิตรที่ปลุกให้ดวงตาซุกซนของเธอตื่นตลอดเวลา บางตึกเธอเคยเห็นจากในหนังสือ หรือแม้แต่ในโปสการ์ดที่แม้นมาศได้รับจากน้องสาว ซึ่งมาใช้ชีวิตถาวรกับสามีชาวกรีซที่นี่ มันทำให้ระดับความตื่นเต้นของมาลินีสูงขึ้นเมื่อได้มาเห็นกับตาในวันนี้ “สวย สงบ และคลาสสิค” สิ้นสุดคำนั้น รถที่เธอโดยสารมาก็จอดสนิท บริเวณหน้าตึกสูงลิ่วขนาดใหญ่ ที่ออกแบบได้อย่างสวยงามตระกรานตา ผสมผสานความงดงามของศิลปะแบบกรีก-โรมัน และความทันสมัยของโลกในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว เธอตกตะลึงกับภาพนั้นจนอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว “ที่นี่คือ...” “ถึงแล้วครับ โรงแรมอธีนา” เธอคิดว่าตัวเองฝันไปแน่ๆ หากต้องพักอยู่ในโรงแรมระดับไฮคลาสที่มีแต่มหาเศรษฐีจากทั่วโลกมาเช็คอิน “พี่แม้น จดที่อยู่ให้ผิดรึเปล่า” ศจีมาศ เป็นน้องสาวฝาแฝดของแม้นมาศ เจ้านายของพ่อเธอนั่นเอง ศจีมาศแต่งงานกับหนุ่มกรีซ ย้ายมาอยู่ที่เอเธนส์ประมาณสิบห้าปีแล้ว พวกเขามีร้านขนมปังเก่าแก่ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษและมีลูกชายเป็นพยานความรักด้วยกันหนึ่งคน “ชื่อโรงแรมนี้ชัดเจนนี่นา” มาลินีมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ขณะหันมองไปจนทั่ว เธอเก้ๆ กังๆ จนดูออกว่าเธอน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเงินน้อยที่บอกชื่อโรงแรมผิด เธอเหมือนเด็กบ้านนอกที่หลงอยู่ในเมืองกรุงจนหาทางออกไม่เจอ “หมายความว่า เราจะได้นอนเล่นในอ่างอาบน้ำจากุดชี่อย่างนั้นหรือ เราจะมีวันนั้นจริงๆ หรือ ไม่อยากจะเชื่อเลย” ระหว่างที่หญิงสาวกำลังหมุนตัวไปมา เพื่อจะมองให้ทั่วทุกซอกมุมของโรงแรมหรู อยู่ๆ รถคันยาวสีดำมันวับก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าของเธอ ชายฉกรรจ์ประมาณห้าคน เดินลงจากรถด้วยความรวดเร็วและเป็นระเบียบอย่างกับทหารที่กำลังเตรียมตัวจะออกรบ หนึ่งในชายฉกรรจ์ตัวสูง ร่างใหญ่ สวมสูทหรูสีดำ สวมแว่นตาดำดูลึกลับ เดินตรงมาทางเธอ แล้วออกปากไล่เธอให้ขยับไปให้พ้นทาง ด้วยภาษาอังกฤษ ในน้ำเสียงกระด้างดุดัน “ออกไป อย่ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้” คนถูกไล่ ถึงกับงง “เกะกะอะไรกัน ฉันก็เป็นแขกของโรงแรมนี้เหมือนกันนะยะ” แต่การทวงสิทธิ์ของเธอสูญเปล่า ขาดคำนั้น หมอนั่นจัดการถีบกระเป๋าใบโตของเธอไปจนสุดแรง หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น แถมเธอยังถูกหมอนั่นดันหลังด้วยความแรง จนร่างเธอเซไปล้มลงบนกระเป๋าใบยักษ์ของเธอ “อย่าลุกขึ้นมา ถ้าไม่อยากตาย” “อะไรกันวะเนี่ย” หญิงสาวหน้าค้างงัน หัวใจเต้นเร็วรี่ เลือดลมในกายเดือดพลุ่งพล่าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะมันรวดเร็วมาก ไม่มีใครสักคนมาช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน เหล่าพนักงานของโรงแรม ยืนนิ่งเหมือนหุ่น เงียบกริบแม้เสียงหายใจก็ไม่เล็ดรอด ราวกับถูกสาปเป็นหินไปแล้ว “มีแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอเป่าลมออกปาก ระงับใจ ระงับอารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดไว้ให้สงบ สะบัดตัวสะบัดไหล่ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอคว้ากระเป๋าที่ล้มนอนอยู่บนพื้นหินอ่อนให้ตั้งยืนเหมือนเดิม เธอหันหน้าไปมองพนักงานของโรงแรมที่ยืนอยู่บริเวณนั้นอีกครั้ง เหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองเห็นพระราชาของแคว้นไหนสักแคว้น หรือไม่ก็ประธานาธิบดีของประเทศกำลังยืนอยู่ตรงหน้าอย่างนั้นแหละ “ทุเรศจริงๆ เลย ไม่เห็นรึไงว่าสุภาพสตรีถูกรังแก” เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หันกลับไปมองไอ้ตัวร้ายที่มันไร้ความเป็นสุภาพบุรุษที่ควรถูกประณาม “ฮึ...ไอ้ยักษ์เอ๊ย คิดว่าคนอย่างมาลินีจะยอมถูกรังแกฝ่ายเดียวหรือ?” เธอเท้าสะเอว มองตาขวาง จับจ้องไปที่กลุ่มของชายฉกรรจ์ในชุดสูทดำ ที่ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบต่อหน้ารถคันยาว ผู้หนึ่งทำหน้าที่เปิดประตูให้แก่ผู้ที่กำลังจะก้าวลงจากรถ “ทำร้ายผู้หญิงได้ คิดว่าเจ๋งแล้วสิ” หมอนั่นไม่หันมาทางเธออีกเลย เขาเอาแต่สนใจเจ้านาย ชายหนุ่มผู้สูงสง่าผ่าเผย หุ่นล่ำสันงดงามภายใต้สูทหรูสีดำเน้นรูปร่างที่ปราดเปรียวชวนมอง เขาก้าวลงจากรถด้วยท่วงท่างดงาม มั่นใจ และเชิดหยิ่ง ดูนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังอย่างยากจะหยั่งถึง ราวกับได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีตั้งแต่เกิด ใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม และดวงตาที่ถูกซ่อนเร้นไว้อย่างดีภายใต้แว่นดำยี่ห้อแพงจากปารีส เมื่อรองเท้าหนังมันวับคู่แพงระยับ ย่างเหยียบลงบนพื้นหินอ่อนอิตาลี เขายืนนิ่งอย่างกับรูปปั้น เหมือนมนุษย์ที่ไร้วิญญาณ “ก็แค่...” เธอรู้แล้วละว่าทำไมแววตาของพนักงานหญิงพวกนี้จึงเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ หื่นกระหายและทึ่งอย่างที่สุด พวกหล่อนกำลังมองมนุษย์ที่ถูกปั้นมาอย่างงดงามจนน่าอัศจรรย์ ยิ่งพอเขาถอดแว่นกันแดดออก เผยใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา เขายิ่งดูไม่เหมือนมนุษย์ เพราะเขาน่าจะเป็นเทพบุตรเสียมากกว่า “ก็แค่...ไอ้ขี้เก๊กคนหนึ่ง” เธอเผลอมองหน้าเขา ด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นมนต์สะกดของพ่อมดหมอผี รึไม่ก็ปิศาจ ที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างท่วมท้น ทันทีที่ชายผู้นั้นเบนสายตามาทางเธอ แววตาคมกริบอันแสนลึกลับ หยามเหยียด ยโส แม้ยืนไกลสักพันไมล์ก็คงมองเห็น แต่ดึงดูดให้รู้สึกต้องสงสัยจนน่าขนลุก เขาจ้องเธอเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนจะหันกลับไปในทิศทางเดิม นั่นคือการมองสูง วิเศษมาก หมอนี่ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออกไปประมาณสิบวินาทีทีเดียว “ใครกัน?” ใครก็ไม่รู้ แต่คำเดียวเลยที่โผล่เข้ามาในใจของเธอ “แต่ต้อง ไม่ใช่ คนดี ชัวร์” ชายหนุ่มผู้นั้น เสียบแว่นตาดำไว้ในเสื้อเชิ้ตชั้นใน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินนำหน้าขบวนมนุษย์สวมสูทสีดำที่คาดว่าน่าจะเป็นบอดี้การ์ด ผ่านโถงประตูอันวิจิตรตรงหน้าไป เมื่อพวกนั้นหายไปจากที่ตรงนี้ โลกที่หยุดค้างเติ่งของทุกคนก็มีอันสลายเช่นกัน ดูเหมือนพนักงานสาวๆ มีความใฝ่ฝันจะเป็นคู่รักของหมอนั่นทั้งนั้น เพราะพากันพร่ำบ่นไม่ขาดปาก “โรงแรมนี้ เขาต้อนรับแขกกันอย่างนี้หรือเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่คิดจะให้เกียรติกันเลยรึไง” เธออดบ่นไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่นิสัย “คงจะใหญ่โตมากสินะ” เธอพูดประชดประชันสนุกปากเท่านั้นเอง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความระอาเอือม เธอจับหูกระเป๋าเตรียมลากผ่านประตูโถง “สงสัยจะเป็นลูกของนักการเมือง หรือไม่ก็พวกมาเฟีย ถึงได้ทำตัวกร่างขนาดนี้ ให้ตาย หมอนี่ทำให้วัฒนธรรมที่แข็งแกร่งของกรีซต้องสั่นคลอนอย่างไม่น่าให้อภัย” สาวไทยอดหันไปมองรถคันนั้นอีกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความสวยโดดเด่นสะดุดตา แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกรังเกียจเจ้าของมันจนอยากจะหาก้อนหินมาขว้างใส่ให้กระจกยับ คิดแล้วก็สะใจพิลึก “ชาตินี้ ขออย่าให้เจอะเจอกันอีกเลย” เธอไม่รู้หรอกว่าคำขอนี้จะบรรลุผลหรือไม่ แต่เธอก็ขอภาวนาให้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากคนพวกนี้ แม้ต้องใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในโรงแรมเดียวกัน เมื่อระงับโทสะได้บ้าง ครานี้ ถึงตาที่เธอจะเชิดหน้าบ่าตั้งบ้าง การเดินอย่างสง่างามเหมือนนางแบบบนแคทวอล์ก เธอก็ทำเป็นเหมือนกัน เธอเดินทอดน่องเข้าไปยังบริเวณหน้าฟร้อนต้อนรับอันโอ่อ่า เลือกนั่งตรงชุดรับแขกแสนหรูที่นุ่มสบายก้น “หรูหราคลาสิกขนาดนี้ ต้องแพงมากแน่ๆ เลย” เธอปล่อยหลังพิงพนักบนเบาะกำมะหยี่เนื้อดีอย่างสบายใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD