“เห็นได้ชัดว่ามันต้องเป็นหลุยส์จากฝรั่งเศสอย่างแน่นอน” หญิงสาวสูดอากาศหอมๆ ที่ปรุงแต่งด้วยน้ำหอมชั้นดีจากธรรมชาติ ที่นี่ นับเป็นวิมานสวรรค์ที่ควรค่าแก่การพักผ่อนที่สุด ให้เธอนอนตรงนี้เลยก็ยังได้ “สบายจังเลย” เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยตอนนี้เธอก็แค่รอให้พี่ศจีมาศมาต้อนรับเท่านั้น
“อะไรกันวะ!” เสียงตะโกนนั้นดังก้องไปทั้งโรงแรมกระมัง มันทำให้เธอสะดุ้งลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เธอหันมองรอบกายเพื่อหาที่มาของความน่ารำคาญ ก็พลันได้เห็นว่าหมู่คณะของเทพบุตรปิศาจยังคงยืนอยู่ในชั้นนี้เช่นกัน เพียงห่างออกไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มผู้สูงสง่าถูกแวดล้อมไปด้วยพนักงานจำนวนมากที่ยืนเรียงกันเป็นแถว ซึ่งทุกชีวิต เลือกที่จะมุดหน้ามองพื้นมากกว่ามองความหล่อระเบิดของหมอนั่น
“ไอ้พวกนี้ ทำอะไรกันน่ะ” เธอพูดพลางหยิบหนังสือนิตยสารที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าขึ้นมาดู แต่ไม่ได้ตั้งใจจะดูหนังสือเลยสักนิด สายตาของเธอคอยสอดส่องมองคนพวกนั้นต่างหาก
“จำได้ไหม ว่าฉันคือใคร!”
หมอนั่นตะโกน ตะโกนอยู่ได้ ไม่กลัวคอจะแตกก็น่าจะเกรงใจคนฟังบ้าง แต่ไม่มีใครตอบเขาสักราย ทุกคนเงียบกริบเหมือนเป็นใบ้กันถ้วนหน้า เว้นก็แต่เธอ...มาลินีแบะปาก จดจ้องภาพผู้ชายบนปกนิตยสาร ที่เขียนพาดหัวไว้หราว่าคือ วิกเตอร์ ออปเปนไฮน์ ลูกชายของรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลและมารดาผู้งดงาม ตัวเขานั้น เปรียบได้ดั่ง ‘เจ้าชายแห่งกรีซ’
“แหวะ เจ้าชายแห่งกรีซ ปัญญาอ่อนรึไง ขนาดจำตัวเองยังไม่ได้”
“ผมคือคนที่สามารถไล่พวกคุณออกจากงานได้ ถ้าจำไม่ผิด” ลูกชายของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ที่คงจะถูกปลูกฝังความคิดว่าตนเองนั้นคือพระเจ้า ที่ใครก็กล้าแหยมไม่ได้ เขากำลังจะแสดงความยิ่งใหญ่ที่น่ารังเกียจต่อหน้าพนักงานผู้ต่ำต้อย ซึ่งหวังพึ่งพิงเงินเดือนของเขาเพื่อดำรงชีวิต “โรงแรมที่พวกคุณทำงานกันอยู่นี้ มีชื่อใครเป็นเจ้าของ ยังตอบได้ไหม”
ใครคนหนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“นั่นคือชื่อของคุณครับ คุณวิกเตอร์”
“แล้วยังไง” เขาถามพลางหันมองไปจนทั่ว “คำสั่งของเจ้าของโรงแรมไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์พอให้จดจำหรอกหรือ มาตรฐานที่ฉันเคยย้ำนักย้ำหนา ทำไมถึงได้หละหลวมเช่นนี้”
หมอนี่ผยองมาก มาลินีบอกกับตัวเองว่าเธอไม่ควรจะมาพักที่โรงแรมของมันเลย เพราะเจ้าของเป็นคนที่น่ารังเกียจมากถึงมากที่สุด เงินของเธอ ไม่ควรต้องเข้ากระเป๋าของหมอนี่เลยแม้แต่ยูโรเดียว
“ปล่อยให้ขอทานเข้ามาในโรงแรมของฉันได้ยังไง!”
ทุกคนก้มหน้า เงียบกริบ ขณะที่ชายหนุ่มผู้ยโส ค่อยๆ เบนสายตามาที่หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ที่ชุดรับแขกทรงสวย มาลินีมองสบตาเขาอีกครั้ง คราวนี้ขนลุกเกรียว รีบหลบสายตาพัลวัน จดจ้องหนังสือในมือแทน หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่ได้แพ้ความหล่อเขาหรอก แต่สายตาของเขา มันชวนขนลุกจริงๆ
“ตกใจหมดเลย ทำไมหมอนั่นหันมามองเรา” เธอพยายามจะสะกดตัวเองให้นิ่งที่สุด ไล่สายตามองข้อความในหนังสือ เพื่อให้เขารู้ว่าเธอสนใจเรื่องราวในนี้มากกว่าการวางก้ามของเจ้าของโรงแรมผู้ตั้งตนเป็นอันธพาล ทว่า เมื่อได้อ่านบทความจากการให้สัมภาษณ์นั้น เธอกลับรู้สึกขยะแขยงจนอยากจะอาเจียน...ข้อความนั้น กล่าวว่า “สำหรับวิกเตอร์แล้ว เขาคิดว่าตนเองนั้นคือเทพอคริริสกลับชาติมาเกิด หรือไม่ก็บุรุษนักรบที่สามารถพิชิตสงครามได้”
เธอกลืนน้ำลายเฮือก
“คิดได้ไงเนี่ย มีสมองรึเปล่า”
เธอไม่เห็นด้วยเลยสักนิด...ไม่เห็นด้วยเลย...หมอนี่ต้องถูกปลูกฝังมาแบบผิดๆ
“และเขายังคิดว่างานสถาปัตยกรรม จิตรกรรรม และประติมากรรมที่เป็นมรดกของชาติที่คนสนใจกันทั่วโลกนั้น ควรต้องนับตัวเขาเองเป็นหนึ่งในประติมากรรมที่ถูกสร้างมาอย่างงดงามจนศิลปะชิ้นไหนก็เทียบไม่ได้อีกด้วย นอกจากรูปร่างหน้าตาที่เขาภาคภูมิใจแล้ว เขายังรู้สึกว่าสมองของตัวเองยังเป็นเลิศไม่แพ้ใคร เขาเคยแอบคิดว่า สมองของเขาก็ไม่น่าจะต่างจากโสเครติส เพลโต หรือแม้แต่อริสโตเติล”
มาลินีวางหนังสือลง เป่าปากเสียงดังเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ
“พระเจ้า นอกจากจะไม่มีสมองแล้ว ยังหลงตัวเองเอามากๆ เลยด้วย”
ชายหนุ่มผู้หลงตัวเองระบายยิ้มมุมปาก หากแต่สายตานั้นเปี่ยมไปด้วยความอำมหิต โหดร้าย อย่างที่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ เขายื่นคำสั่งสุดท้าย ด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง และก้องกังวาน
“ก่อนที่คณะราชวงศ์ของยุโรปทั้งหมดจะเดินทางมาถึงที่นี่ ในการเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นยาวนาน ฉันมีเวลาให้สิบนาที จัดการเอาความสกปรก โสโครกและขยะทั้งหมด ออกไปจากโรงแรมของฉันให้หมดจด เดี๋ยวนี้”
สิ้นสุดคำสั่งนั้น มินานนัก ก็มีบุรุษในชุดสีดำ มาปรากฏต่อหน้าเธอ หญิงสาววางหนังสือลง เงยหน้ามองด้วยความงงงัน ชายหนุ่มผู้นั้น เขาหน้าตาดีและมีแววตาที่ค่อนข้างอบอุ่นเลยทีเดียว
“มีอะไรหรือคะ”
ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยกล้ายิ้ม
“ผมมีหน้าที่มาเชิญคุณผู้หญิงออกไปจากโรงแรมครับ”
เธอตกใจจนคิ้วย่น “ขยะ!!!” เธอชี้หน้าตัวเองด้วยความที่คิดไม่ถึง
“ครับ”
มาลินีเป็นเดือด เลือดขึ้นหน้าแบบฉุดไม่อยู่ เธอลุกยืนขึ้นอย่างห้าวหาญ หันไปมองชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของโรงแรมด้วยความชัง หมอนั่นยังคงยืนอยู่ท่ามกลางบอดี้การ์ดของเขา และใช้สายตาร้ายๆ มองสูงเหมือนเคย
“ฉันเป็นแขกของที่นี่!!!!”
“มิได้หรอกครับ ในช่วงเวลานี้ กำลังจะมีงานสำคัญ ทางโรงแรมมิได้เปิดต้อนรับแก่บุคคลทั่วไปเลย คุณผู้หญิงคงจะเข้าใจผิด เรียนเชิญเถอะครับ”
มาลินีไม่เข้าใจ เธอคิดจะเถียง แต่เขาส่งเสียงเสียก่อน...เบาๆ
“ก่อนที่เขาจะอาละวาด”
มิทันขาดคำ
“ลุยจิ!” เสียงนั้นดังสนั่น “จับผู้หญิงคนนั้นออกไปโยนทิ้งที่ด้านนอกเสียให้พ้นหูพ้นตาฉันเดียวนี้เลย ไปเดี๋ยวนี้ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะโว๊ย!!!”
คำสั่งนั้น ทำเอาชายหนุ่มตาลุกวาว ส่วนหญิงสาวชาวไทยตกใจจนผวา เจ้าคนที่ชื่อลุยจิ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่โยนกระเป๋าเธอทิ้งที่ด้านหน้าประตู เดินปรี่มาด้วยความรวดเร็วเหมือนใส่สเก็ต
“เร็วเข้าครับ ออกไปตอนนี้เลย”
เจ้าหนุ่มคนแรกที่มารีบไล่เธอ มาลินีทำอะไรไม่ถูก เธอคว้ากระเป๋าด้วยความรนราน
“เจ้าเองเกิลเบิร์ต จับยัยนี่โยนออกไป!!!!!”