รุจรวีจำต้องลุกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตนเองเมื่อเสียงโทรศัพท์บ้านนั้นดังก่อกวนสมาธิของเธอจนเธอไม่เป็นอันทำอะไร และตัดสินใจเดินลากขาไปรับสายที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องในที่สุด
“ว่าไงแพม?”
หญิงสาวเอ่ยถามทันทีเมื่อรู้ว่าคนโทรมาเป็นใคร แล้วก็ต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกจากหูไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเธอเสียงดังราวกับจะกรีดร้องดังลั่น
“ยัยรวี!”
“อะไร ร้องออกมาเสียงดังอยู่ได้ พูดธรรมดาๆ ก็ได้ยิน” หญิงสาวตอบกลับเสียงเข้ม
แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ ศุภางค์รีบพูดต่อทันที “ตอนนี้แกอยู่ไหน?”
รุจรวีขมวดคิ้วเรียวสวยของตนเองมุ่น หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผมหน้าที่ตกลงมาปรกหน้าผากเล็กของตนขึ้นแล้วตอบว่า
“อยู่บ้าน กำลังปั่นนิยายอยู่” เธอตอบก่อนจะถามต่อ “แกมีอะไร”
“งั้นรอฉันอยู่ที่บ้านนะ ฉันจะไปหาแกเดี๋ยวนี้”
พูดจบศุภางค์ก็วางสาย ทิ้งให้รุจรวีได้แต่งุนงงกับอาการลมเพ ลมพัดของเพื่อน
เสียงกริ่งที่กดรัวๆ นั้นทำให้รุจรวีรีบโผล่ออกไปหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นเพื่อนสนิทของเธอเองที่ยืนรออย่างกระสับกระส่าย ในมือของศุภางค์นั้นถือแท็ปเลตติดตัวมาด้วย แล้วตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังใช้ประโยชน์จากมันโดยการใช้มันบังแดดร้อนในยามบ่ายจัดเช่นนี้
“กดกริ่งก็เกรงใจฉันบ้าง มันเปลืองค่าไฟนะยะ”
รุจรวีเอ่ยปากต่อว่าอีกฝ่ายทันทีกับพฤติกรรมการกดกริ่งรัวๆ ไม่เปลี่ยนของศุภางค์ในทุกครั้งที่มาบ้านเธอ แต่คนโดนดุไม่สนใจกลับเอ่ยเร่งอีกฝ่ายว่า
“แกรีบเปิดประตูรั้วเร็วๆ ฉันร้อน”
แม่คนกลัวแดดเอ่ยเร่ง แล้วเมื่อรุจรวีเปิดประตูรั้วเรียบร้อยเท่านั้นแหละ เธอก็แทรกตัวเข้ามาแล้ววิ่งจู๊ดเข้าบ้านเพื่อนสาวไปในทันที
รุจรวีมองท่าทีนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา จนเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงห้องนั่งเล่นที่หญิงสาวตั้งโน้ตบุ๊กยึดเป็นที่ทำงานชั่วคราวแล้วนั่นแหละ หญิงสาวก็เอ่ยถามผู้มาใหม่ทันที
“แกมีอะไรเหรอแพมถึงพูดทางโทรศัพท์ไม่ได้”
“เออ...ใช่”
ศุภางค์ร้องอย่างนึกขึ้นได้ว่าเธอรีบวิ่งมาหารุจรวีที่บ้านทำไม ทำให้หญิงสาวรีบผละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเพื่อนแล้วตรงมานั่งข้างๆ เจ้าหล่อนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวใหญ่ดูนุ่มสบายนั้น แล้วรีบยื่นแท็ปเลตไปให้รุจรวี ซึ่งเปิดรูปที่แคปมาจากเพจกอสซิปทูเดย์เอาไว้
หญิงสาวจิ้มนิ้วใส่ข่าวเจ้าปัญหานั่นต่อหน้ารุจรวีที่ยังมองอย่างไม่เข้าใจ ศุภางค์เลยกดหัวเพื่อนสนิทลงไปจนคนไม่ทันตั้งตัวแทบจะหัวทิ่มแล้วพูดว่า
“แกดูซะ! ดูๆๆ”
เจ้าหล่อนเน้นย้ำคำว่าดู แล้วรัวจิ้มนิ้วลงบนรูปเพจซุบซิบดารานั่น คราวนี้เลื่อนเปิดรูปที่แคปไว้ให้ดูด้วย แต่เนื้อหาในข่าวไม่ได้ดึงดูดความสนใจหญิงสาวได้เท่ากับภาพพวกนั้น
รุจรวีเชื่อว่าเธอรู้จักผู้หญิงในภาพนั้นอย่างแน่นอน! ก็ทำไมจะไม่ละ...ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นคือเธอเอง!
“นี่มันอะไรกัน...”
รุจรวีครางออกมาเสียงเบา ในขณะที่ศุภางค์พยักหน้ารับ
“ใช่! นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคนในรูปถึงเป็นแกไปได้รวี แล้วแกโดนแบบนี้ทำไมไม่เคยเล่าอะไรให้ฉันฟังเลย!”
ศุภางค์ถามรัวเป็นชุด แต่รุจรวีก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ฉันไม่รู้เรื่องเลยนะแพม”
“แต่ตอนนี้แกต้องรู้แล้วแหละ คนอื่นที่รู้จักแกอาจจะไม่รู้ว่านี่คือแกเพราะภาพมันก็ไม่ค่อยชัดเท่าไร แต่คนสนิทๆ อย่างฉัน อย่างพี่วิทย์ดูปราดเดียวก็รู้ แล้วยิ่งแกคิดดูสิ! แกเป็นข่าวกับใคร ฌอน พาร์กเกอร์เชียวนะ แกเอ๊ย...แกตอบคำถามพี่วิทย์ยาวแน่ๆ เลย”
ศุภางค์พูดราวกับขู่เพื่อนสนิท แต่มันก็คือคำขู่ที่น่าจะเป็นจริงทั้งหมด
เธอตายแน่ ถ้ารวีวิทย์รู้เรื่องนี้
หญิงสาวได้แต่ครางในใจ แล้วอย่าได้คิดฝันว่าเขาจะไม่รู้ หญิงสาวคิดอย่างเพิ่งฉุกใจคิด
ทำไมเธอถึงลืมไปได้นะว่าพี่วิทย์ทำงานอะไร และทำให้ใคร
แล้วทำไมคืนนั้นเธอถึงนึกไม่ออกนะว่าไอ้โรคจิตนั่นคือใคร?!
นายคาสโนวาตัวพ่อแห่งวงการนายแบบ
ฌอน พาร์กเกอร์...
เมื่อรวีวิทย์กลับมาถึงบ้านในยามเย็น เขาก็เห็นเพื่อนของรุจรวีและเป็นคู่ปรับตลอดกาลของเขานอนพังพาบอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขกประหนึ่งเป็นบ้านของเจ้าหล่อนเอง และน้องสาวของเขาที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ไกลจากศุภางค์มากนัก
สองสาวหันมามองผู้ชายคนเดียวของบ้านทันที รวีวิทย์เดินราวกับคนหมดเรี่ยวแรงมาทำท่าทรุดนั่งโซฟาเดียวกับศุภางค์ทำให้เจ้าหล่อนรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ศุภางค์ทำท่าขว้างค้อนขวับใส่คนที่จะมานั่งทับตัวเธอทั้งๆ ที่ก็เห็นว่าเธอนั่งอยู่ แต่รวีวิทย์ไม่มีทีท่าจะเย้าแหย่เธอกลับ วันนี้เขาเหนื่อยกับการแก้ข่าวซึ่งอันที่จริงคือแก้ตัวของฌอนมามากพอเกินกว่าจะสู้รบปรบมือกับใครไหว
“ขอบใจจ้ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยกับน้องสาวตนเอง เมื่อรุจรวีที่เดินไปเอาน้ำดื่มเย็น มาวางลงตรงหน้าของพี่ชาย ชายหนุ่มยกดื่มขึ้นรวดเดียวกัน มันหมดแก้วแล้วจึงวางลง แอร์เย็นๆ ทำให้เขาคลายร้อนจากอากาศที่ร้อนระอุภายนอกไปได้เป็นอย่างดี มือปลดกระดุมข้อมือออกแล้วพับแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อที่คอคลายปมเนคไทออก
“พี่วิทย์ไปทำอะไรมาเหรอคะวันนี้ ท่าทางดูเหนื่อยๆ ชอบกล”
รุจรวีถามพี่ชาย มือบางกดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองลงด้วยไม่คิดว่าตนเองจะมีกระจิตกระใจทำงานต่อได้อีกต่อไป
“ก็ไม่มีอะไร แค่วันนี้พี่ต้องพูดมากเป็นพิเศษเลยรู้สึกเหนื่อยมากหน่อยก็แค่นั้น”
“เหรอคะ”
รุจรวีถาม สายตาเหลือบมองกับศุภางค์ที่ทำท่าเชือดคอตัวเองแล้วชี้ไปทางพี่วิทย์ ทำเอาหญิงสาวหลับตาปี๋อย่างนึกกลัว เธอกำลังสองจิตสองใจว่าจะบอกพี่ชายดีหรือไม่ แล้วในขณะที่กำลังนั่งลังเลอยู่นั้น รวีวิทย์ที่คลายมือจากการดึงเนคไทออกจากคอแล้วพับม้วนเก็บก็ตอบคำถามหญิงสาว
“ใช่...พี่ไม่เคยพูดมากเท่าวันนี้มาก่อนเลย ฌอนมันก่อเรื่องซะจนพี่อยากจะฆ่ามันให้ตาย บอกแล้วก็ไม่เคยจำว่าจะทำอะไรให้คิดหน้าคิดหลัง นี่อะไร...ไปเที่ยวผับพี่ไม่ว่านะ แต่ดันมาข่าวออฟเด็กนี่ พี่ล่ะอยากจะฆ่ามันจริงๆ!”
ฌอน...ออฟเด็ก!
แค่ได้ฟังรุจรวีกับศุภางค์ก็สะดุ้ง โดยเฉพาะ ‘เด็กออฟไม่รู้ตัว’ อย่างรุจรวียิ่งหน้าซีดหนัก
“รีบๆ พูดเลยแก...รีบๆ พูด”
ศุภางค์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ค่อนไปเบื้องหลังรวีวิทย์ทำปากพะงาบๆ บอกเพื่อน ด้วยโตมากับสองพี่น้องบ้านนี้เธอรู้จักนิสัยไอ้คุณพ่อวิทย์นี่ดี ถ้าทำอะไรผิดชิงสารภาพก่อนให้เจ้าตัวรับรู้เองโทษจะลดลงกึ่งหนึ่ง ศุภางค์จึงพยายามยุให้เพื่อนบอกพี่ชาย แต่รุจรวีกลับหน้าเสีย ทั้งที่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อยแต่ทำไมเธอต้องมาซวยด้วย ต้องโทษไอ้นายแบบตาไม่มีแวว ไอ้โรคจิตนั่นคนเดียวที่ทำให้เธอต้องมาตกที่นั่งลำบากแบบนี้!