เมื่อตกลงกันได้ ทั้งสองก็เดินเข้าไปหาเด็กชายชวกร ที่กำลังนั่งเล่นเลโก้ที่ผู้เป็นป้าซื้อมาฝาก ด้วยความที่เด็กชายเติบโตมาไม่เคยได้เล่นสิ่งนี้เลย เขาจึงสนใจของเล่นชิ้นนี้เป็นพิเศษ ทำให้เด็กชายคลายความเศร้าจากการสูญเสียมารดาได้ชั่วขณะ ผู้ใหญ่ทั้งสองเดินมาหยุดมองดูเด็กชายสักพัก ก่อนที่เอื้อมเดือนจะพยักเพยิดให้ชัชวาลย์เดินเข้าไปบอกเด็กชายชวกรด้วยตนเอง
“กร ต่อไปนี้หนูต้องไปอยู่กับป้าเดือนนะลูก” ชัชวาลย์พยายามกลั้นความเจ็บปวดไว้ไม่ให้ออกมาทางเสียง
“ไม่เอาครับผมอยากอยู่กับพ่อ” เด็กชายรีบส่ายหน้าทันที เขาไม่คุ้นเคยกับผู้เป็นป้าเลยสักนิด แล้วจะให้เขาไปอยู่กับผู้เป็นป้าได้อย่างไร
“ไปอยู่กับป้าที่เมืองนอกเถอะนะลูก หนูจะได้เรียนที่ดีๆ ไม่ต้องมาทนลำบากกับพ่อ” ชัชวาลย์กล่าวเสียงเครือ เขาไม่อยากทำแบบนี้ แต่ทุกอย่างที่ทำในวันนี้ก็เพื่ออนาคตของลูก
“ไม่ไป ผมไม่ไป ผมจะอยู่ที่นี่กับพ่อ” เด็กชายยังคงดึงดันที่จะอยู่กับบิดา
“ไปเถอะลูก พ่อจะแต่งงานใหม่ พ่อจะมีครอบครัวใหม่ ลูกก็ควรจะไปอยู่กับป้ามันถึงจะถูก” ชัชวาลย์จำใจโกหกบุตรชาย เพราะไม่เช่นนั้นชวกรจะไม่ยอมไปอย่างแน่นอน
“พ่อไม่รักผมแล้วเหรอ พ่อจะแต่งงานใหม่ไม่ได้” เด็กชายชวกรจ้องตาบิดาด้วยความผิดหวัง ตอนนี้เขากำลงถูกโยนออกจากชีวิตของบิดา แม้จะยังเด็กแต่ความรู้สึกเสียใจก็ท่วมท้นอยู่ในใจ
“พ่อยังรักกรนะ แต่เพื่อตัวกรเอง กรไปกับป้าเถอะนะ” แม้จะเสียใจ แต่เมื่อเลือกทางนี้แล้ว เขาก็ควรจะผลักดันบุตรชายไปให้ถึงที่สุด อนาคตของชวกรต้องดีกว่าการที่จะอยู่กับเขาแน่นอน
“ผมเกลียดพ่อ!!” เสียงของบุตรชายเน้นย้ำความรู้สึกอย่างชัดเจน ซึ่งเอื้อมเดือนได้แต่มองด้วยความสะใจ ในที่สุดเธอก็กำลังจะได้หลานชายไปดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้พ่อยาจกดูแลแล้วไม่มีอนาคตให้นึกถึง ในขณะที่ชัชวาลย์แอบน้ำตาซึมด้วยความเสียใจ ความเจ็บที่ถูกบุตรชายเพียงคนเดียวเกลียดมันทำให้เขาทรมานไปทั้งหัวใจ
“ป่ะตากร เราไปอยู่กับป้านะลูก แล้วป้าจะให้ทุกอย่างที่หนูต้องการ” เอื้อมเดือนฉวยโอกาสเข้ามาคว้าข้อมือหลานชาย ในช่วงจังหวะที่หลานชายของเธอกำลังรู้สึกเกลียดชังบิดา เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะที่สุด
“ครับ ผมจะไปอยู่กับป้า ผมจะไม่คุยกับพ่ออีก” ชวกรในวัยแปดขวบนั้นเด็ดเดี่ยวเกินกว่าเด็กในวัยทั่วไป เมื่อได้ยินคำตัดพ้อของบุตรชาย ชัชวาลย์ถึงกับทรุดตัวนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง