ตอนที่ 2 ตระกูลเมมเบย์
“ใคร....ส่งนายมา”
“ใครเหรอ ผมเปล่านะ ผมกับน้องเราแค่จะขออาศัยติดรถออกไปจากเมือง”
“รุซ ถึงแล้วเหรอ” เด็กน้อยขี้เซาอ้าปากหาวอย่างไร้เดียงสา ผมรีบใช้ฝ่ามือกดใบหน้าเล็กอ้วนกลม ซุกกลับเข้ามาไว้แนบตัวเพราะกลัวลูก้าจะตกใจ เมื่อเห็นผู้ใหญ่ยืนทำหน้าตาน่ากลัว ซ้ำยังหันปืนมาจ่อหัวอย่างนี้
“ใช่ ถึงแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเจ้าของกระบอกปืนสีดำ
ผู้ชายคนหนึ่งกระชากกระเป๋าสะพายของผมไป จากนั้นเปิดเททุกอย่างข้างในออกมา นมผงกระป๋องเล็กถูกเปิดออก ก่อนที่มือใหญ่จะล้วงเข้าไปเหมือนต้องการควานหาอะไรสักอย่างในนั้น ขนมปังปอนด์ก้อนใหญ่กว่ากำปั้นนิดหน่อยถูกขยี้จนเละคามือ
“จะทำอะไรน่ะ” ผมมองนมผงสีขาวครีม ซึ่งหกออกมาภายนอกก่อนจะค่อยๆ ใช้มือกอบมันใส่กลับไปในกระป๋องตามเดิม
“ฮึก ฮึก ฮึก” ลูก้าหันไปเบะปาก ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อเห็นสิ่งที่คนใจร้ายทำกับอาหารที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ
“มาจากไหน” คนตาดุลดระดับปลายกระบอกปืน ดึงเก็บกลับเข้าไปภายในอกเสื้อ ส่วนปืนกระบอกอื่นๆ ยังคงยื่นพุ่งวิถีกระสุนมายังผม
“คาซัน” ผมตอบตามความเป็นจริง
“แล้วจะไปไหน”
“.............” เป็นคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบยังไง ในเมื่อผมไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน
“ลูกนายเหรอ” คิ้วสีน้ำตาลทองเลิกสูงขึ้นนิดหน่อย
“น้องชายน่ะ”
“นายชื่ออะไร”
“รุซลัน”
“แล้วเจ้าจิ๋วนั่นล่ะ”
“ลูก้า” ผมก้มลงมองน้องชายที่กำลังใช้มือน้อยๆ เอื้อมไปหยิบขนมปังที่ถูกบี้จนเละขึ้นมา จากนั้นพยายามใช้มือขยำทำให้มันกลับมาเป็นก้อนสวยๆ อย่างเดิม
“ลงมา!” ผู้ชายหน้าตาท่าทางน่ากลัวคนหนึ่ง คว้าคอเสื้อของผมดึงกระชากลากลงจากรถ
“อ๊าก” ผมถูกผู้ชายสองคนลากถูลู่ถูกังลงไปจากถนน
นับตั้งแต่คืนวันที่ผมหนีตายออกมาจากบ้าน นี่เป็นอีกครั้งที่ผมได้สัมผัสกับคำว่า “ความกลัว” ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร ระหว่างความตาย ความเจ็บปวด หรือกลัวการพลัดพรากจากคนที่ตนรัก แม้ว่าตอนนี้ผมจะเหลือเพียงคนในอ้อมแขนเพียงคนเดียวเท่านั้น หากชีวิตอันแสนบัดซบน่าสังเวชนี้ เดินทางมาถึงจุดจบ ผมก็ขอตายไปพร้อมกับลูก้า
“แง้” มือเล็กๆ ของลูก้ากอดคอผมเอาไว้แน่น แขนขาสองข้างหนีบติดเอวไว้ไม่ยอมปล่อย
“คุณจะฆ่าเรางั้นเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นไปถาม คนที่น่าจะมีอำนาจมากที่สุด ผู้ชายตัวสูงผมสีน้ำตาลทองแดงคนนั้น
“สภาพอย่างนายน่ะเหรอ ฉันไม่ลั่นไกให้เปลืองกระสุนหรอก”
ตูมมมม มือใหญ่ผลักผมกับน้อง ตกลงไปในลำธารข้างถนน สองแขนตะเกียกตะกายไขว่คว้าน้องชายไว้เป็นสิ่งแรก เด็กสองขวบแหกปากร้องไห้จ้าจนผมใจหาย
“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย”
“ฉันเหม็นสาบ จัดการทำความสะอาดตัวนายกับน้องชายให้เรียบร้อย” คนใจดำอำมหิตพูดเสียงเรียบ
ผมแหงนคอมองคนร่างสูงใหญ่ซึ่งค่อยๆ หันหลังเดินจากไป ใช้เวลาปลอบน้องชายให้หายตกใจอยู่นาน เมื่อมั่นใจว่าร่างกายของเราน่าจะสะอาดขึ้น อย่างน้อยคราบดิน คราบโคลนที่เกาะตามแขนขา หน้าตา เนื้อตัว มันก็หลุดร่อนถูกผมขัดล้างจนเกลี้ยงเกลา เสื้อยืดเก่าๆ มีรอยขาด ถูกถอดออกมาซักน้ำเปล่าแล้วสวมกลับเข้าไปใหม่ ส่วนน้องชายยืนสั่นเพราะความหนาวอย่างน่าสงสาร ผู้ชายคนที่ลากผมโยนลงน้ำยังพอมีความเมตตาอยู่บ้าง จึงถอดเสื้อแจ็กเกตตัวนอกเนื้อหนาส่งมาให้
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณ ใช้เสื้ออุ่นคลุมร่างสั่นของลูก้าให้พ้นจากลมหนาวในทันที
ผมมีเพียงเสื้อยืดเปียกๆ กางเกงในเก่าเอวย้วยเพราะยางยืด กับรองเท้าผ้าใบขาดๆ สวมติดตัว เดินกลับขึ้นมายืนอยู่ท่ามกลางสายตาเย็นชาของผู้ชายที่น่าจะมีความสำคัญ หรือมีอำนาจ มีอิทธิพลไม่น้อย สังเกตได้จากรถที่ใช้ แถมยังพวกมือปืน บอดี้การ์ดที่ยืนล้อมหน้า ล้อมหลังนั่นอีก
“รถฉัน...ไม่ใช่ที่ที่นายคิดจะขึ้นมา หรือลงไปได้ง่ายๆ” เจ้าของเสียงแข็งหยิบบุหรี่มวนใหญ่มาจากกล่องเหล็กสีทอง ซึ่งลูกน้องคนหนึ่งยื่นมาให้ ไฟแช็กจากคนที่ยืนอยู่ข้างซ้ายจุดไฟทันทีที่บุหรี่มวนนั้นถูกคาบไว้ด้วยริมฝีปากหยัก ควันสีขาวจางๆ กลุ่มใหญ่ถูกพ่นออกมาแล้วลอยหายไปในอากาศ
“ผมไม่รู้นี่ ผมไม่รู้...ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
“ไม่รู้...ไม่เห็น” สายตาคมปลาบเหมือนฉาบไว้ด้วยคมมีดสะบัดมองมาที่ผม
“คือ...ท้ายรถมันมืด ผมไม่เห็นอะไรจริงๆ นะ”
“แต่นายได้ยิน ใช่หรือเปล่า”
“เอ่อ ผมไม่รู้...มันอาจเป็นเสียง....เสียง....ปล่อยผมกับน้องไปเถอะ ผมจะไม่พูดเรื่องคืนนี้” ผมจำเสียงปืนในความมืดนั้นได้ แต่ถึงผมจะได้ยิน มันก็ไม่ได้แปลว่าผมไปรู้เห็นเหตุการณ์อะไรนี่
“นายคิดว่าฉันโง่นักหรือไง"
"ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ผมกับน้องเราไม่เห็นจริงๆ นะ คุณคิดว่าการนอนอยู่ท้ายรถมืดๆ นั่น มันมีรู มีช่องว่างให้ผมส่องตาออกไปดูอย่างนั้นเหรอ"
"ฉันไม่ชอบความเสี่ยง เอาตัวไป” บุหรี่ครึ่งมวนถูกโยนลงไปบนพื้นถนน ก่อนจะถูกปลายรองเท้าบู้ทสีน้ำตาลขยี้มันจนดับไป
ผมถูกผู้ชายคนเดิมกระชากคอเสื้อ จับโยนเข้าไปภายในรถแวน ตรงส่วนเบาะที่นั่งด้านหลัง ผมขยับไปนั่งชิดติดประตูรถฟากหนึ่ง ใช้มือลองดึงล็อกประตูเผื่อว่าจะสามารถพาตัวเองหนีออกไปได้ หากแต่มันถูกคนขับรถตั้งระบบล็อกป้องกันเอาไว้ ลูก้าที่โผล่หน้ากลมๆ ออกมาจากคอเสื้อตัวใหญ่หันซ้ายหันขวาเหมือนยังไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงมานั่งอยู่ตรงนี้
“ทำไมเขาใจดีจังเลย” น้องชายของผมเอียงหน้าหันไปส่งยิ้มให้คนตาดุ
“อืม” ผมแค่เหลือบตามองคนที่เปิดประตูเข้ามานั่งอยู่เบาะหลังห่างไปสักหนึ่งช่วงแขน คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะในการมานั่งสาธยายอธิบายเรื่องราวซับซ้อนให้เด็กสองขวบฟังเวลานี้
กระเป๋าสะพายใบเดิมของผม ถูกโยนมากองลงบนพื้นตรงที่พักเท้า ผมรีบก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาเปิดสำรวจดูข้าวของไร้มูลค่าแต่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเราสองพี่น้อง มือน้อยๆ ยื่นออกมาพ้นชายเสื้อคลุม หยิบขวดพลาสติกที่มีนมเหลือติดอยู่ตรงก้นขวดแล้วยกขึ้นไปดูดตามความเคยชิน
“คุณ...พอจะมีน้ำเปล่าสักหน่อยมั้ยครับ” ผมหันไปถามใครสักคนบนรถอย่างไม่เจาะจง
น้ำเปล่าขวดหนึ่งถูกยื่นส่งมาให้จากคนที่นั่งใกล้ผมที่สุด นมผงที่ตอนนี้มันคงมีฝุ่น มีผง ผสมปนเปื้อนอยู่บ้าง ถูกผมตักกรอกใส่เข้าไปในขวดนมน่าเวทนา จากนั้นผสมน้ำเขย่าๆ ส่งกลับไปให้น้องชายกินประทังหิว
ตุบ โอเวอร์โค้ดตัวใหญ่ถูกคนที่นั่งอยู่เบาะด้านข้างเหวี่ยงมาให้ โดยปราศจากคำพูดหรือคำอธิบายใดๆ ผมก้มลงเหลือบตามองท่อนขาซีด ที่สั่นพั่บๆ เพราะอากาศหนาวกับเล็บเท้าที่มันโผล่ทะลุออกมาจากรองเท้าผ้าใบ ก่อนจะหันไปพยักหน้าค้อมศีรษะลงแทนคำขอบคุณ จากนั้นยกเสื้ออุ่นๆ ที่ยังมีกลิ่นน้ำหอมขึ้นมาสวม แล้วไม่ลืมที่จะดึงเอาเจ้าตัวเล็กเข้ามาซุกอยู่ข้างในด้วย
“แวะข้างหน้า” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยดังขึ้นมาลอยๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปชำเลืองมองป้ายร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด แบบที่สามารถเอารถเข้าไปจอดเทียบ แล้วสั่งอาหารกับพนักงานมาทานในรถได้เลย รถคันใหญ่เสียเวลาจอดอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็ขับต่อไปบนถนนหลวง
“..........” ห่อกระดาษก้อนใหญ่ถูกยื่นมาให้ในความเงียบอันน่าอึดอัด
“ขอบคุณครับ” ผมเอื้อมมือไปรับเบอร์เกอร์ชิ้นมหึมานั้นมาแล้วสะกิดนิ้วให้น้องชายลุกขึ้นมานั่งดีๆ จากนั้นแกะกระดาษออกมาเลือกส่วนที่ไม่มีซอสพริกกับมัสตาร์ด ค่อยๆ ป้อนมันให้น้องรัก
“เบอร์เกอร์” มือเล็กถือขนมปังซีกหนึ่งเอาไว้ ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นปากเล็กๆ กัดกินเคี้ยวตุ้ยๆ ดูท่าทางจะหิวและมีความสุขมาก
“รุซ พี่กินด้วย” นิ้วน้อยๆ หยิบเนื้อบดอัดเป็นแผ่นกลมฉ่ำซอสยื่นมาจ่อที่ปากผม
“ไม่ต้องห่วงพี่ ลูก้ากินให้อิ่มก่อน เดี๋ยวพี่ค่อยกินทีหลัง” ผมใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบอาหารเป็นมันที่ติดอยู่ตรงมุมปากเล็กกับแก้มอ้วนๆ นั้นมองดูน้องชายวัยกำลังโตด้วยความสงสาร
หลายเดือนมานี้เราสองพี่น้องระหกระเหินไปตามเมืองต่างๆ กินอยู่ด้วยความแร้นแค้นเหลือประมาณ จนลิ้นแทบไม่รู้รสชาติของอาหาร นี่เป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุด ตั้งแต่วันที่ผมพาน้องหนีมา ป้ายบอกทางด้านหน้าทำให้รู้ว่ารถคันนี้กำลังจะเข้าเขตมอสโคเมืองหลวงของรัสเซีย
‘คุณคาลวิน’
ผมนึกทบทวนชื่อที่ได้ยิน แล้วเริ่มลำดับความคิดข้างในหัวอย่างเงียบๆ ครอบครัวของผมเป็นหนึ่งในสมาชิกพวก มาซัค กลุ่มมาเฟียขนาดกลางแถบชานเมือง ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับธุรกิจสีเทาของครอบครัวเท่าไหร่นัก แต่พอคุ้นหู คุ้นชื่อ ตระกูลเมมเบย์ มาเฟียอันดับหนึ่งของรัสเซียอยู่บ้าง หรือว่าผู้ชายคนนี้คือ....คาลวิน เมมเบย์
ขบวนรถยนต์เลี้ยวพ้นเข้าไปภายในรั้วของคฤหาสน์ใหญ่โตราวกับมหาวิทยาลัยที่ผมเพิ่งเรียนจบมา ด้านหน้าทางเข้าเห็นคนมายืนต่อแถวหน้ากระดาน เพื่อรอต้อนรับการกลับมาของผู้ชายหน้านิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้าง
โฮกกกก! เสียงคำรามของสัตว์อะไรสักอย่าง ลอยมาพร้อมกับเงาสีขาวขนาดใหญ่ กระโจนออกมาจากด้านหลังคนพวกนั้น สัญชาตญาณการเอาตัวรอดดีดขาผมกระโดดเข้าไปหลบอยู่เบื้องหลังคนตัวใหญ่ เสียงกรีดร้องตกใจของลูก้าทำเอาผมผวาจนใจสั่น
“ใจเย็นเอรา...”
สิงโตขนสีขาวราวกับหิมะตัวใหญ่ แยกเขี้ยวส่งเสียงคำรามดังโฮก พร้อมกับทำเสียงดังครืดคราดในลำคอ ท่าทางหงุดหงิดเมื่อถูกปราม ผมยืนตัวสั่นกลัวจนสติเกือบหลุด แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนในที่นี้ยังคงยืนนิ่งไม่มีใครเป็นลมล้มพับลงไปกองกับพื้น อีกทั้งคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ายังมีท่าทีสงบนิ่ง ฝ่ามือยื่นออกไปลูบหัวเจ้าของแผงคอคอสีขาวราวกับมันเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ
“เอ.....เอราเหรอ ฉันไม่อร่อยหรอก กินไม่อิ่มด้วย”
“กลัว กลัว” ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ที่ผมกับลูก้าขยับเข้าไปยืนกอดเอวเจ้าของบ้าน ยิ่งลูก้านั้นแทบจะปีนขึ้นไปขี่คอของคุณคาลวินเพราะความกลัว
โฮก! อีกครั้งที่เจ้าสิงโตตัวยักษ์แผดเสียงคำรามจนขนผมลุกซู่ไปทั้งตัวแขนขาอ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่
“เอรา ดูนี่...ดมแล้วจำไว้ นี่ไม่ใช่อาหาร”
“อื้อ นั่นคุณจะทำอะไร” ใจผมหล่นลงไปจนถึงตาตุ่มเมื่อมือหยาบจับรวบแจ็กเกตที่ห่อตัวน้องชายผมอยู่ นิ้วแข็งแรงขยุ้มยกลูก้ายื่นไปอยู่ต่อหน้าสิงโตขาว ผมเห็นเขี้ยวยาวสีขาวแยกออกก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดไม่ต่างจากหมา จากนั้นมันจึงขยับมาเดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ เราสามคน
"กลัว..รุซกลัว"
"ไม่ต้องกลัว พวกเธอน่ะ...ไม่พอยาไส้มันหรอก ไป...” มือหยาบโยนน้องชายกลับมาให้ผมอุ้ม ก่อนที่เท้าคู่นั้นจะขยับเดินขึ้นบันไดเข้าไปภายในบ้านโดยที่ข้างกายมีสิงโตตัวใหญ่เดินตามไปด้านข้าง
ก้าวแรกหลังจากเดินพ้นผ่านเข้ามา ผมเหมือนย้อนเวลากลับไปสมัยเรียนมัธยม ตอนที่โรงเรียนพาไปทัศนศึกษา เยี่ยมชมพระราชวังเปโตรวาเรส ความโอ่อ่างดงามไร้ที่ติ แสดงสถานะอันไม่ธรรมดาสมกับความเป็น เมมเบย์ ตระกูลมาเฟียอันดับหนึ่งที่สืบทอดความยิ่งใหญ่กันมาอย่างยาวนาน นี่สินะใครต่อใครถึงอยากเข้ามาแทนที่ตระกูลเมมเบย์นัก
เจ้าของแผ่นหลังกว้างเดินขึ้นไปบนบันไดซึ่งทอดสูงขึ้นไปยังชั้นบน ตรงเชิงบันไดชั้นล่าง มีบอดี้การ์ดหน้าบึ้งสองคนขยับมายืนประกบปิดทาง เหมือนต้องการบอกว่าห้ามไม่ให้คนอื่นขึ้นไป ผู้ชายคนที่ถอดเสื้อมาให้เจ้าตัวเล็ก เดินนำทางผมลงบันไดไปยังชั้นใต้ดินซึ่งต้องเดินเลี้ยวไปยังอีกทิศ
“ห้องนี่...”
“เข้าไป แล้วอย่าออกมาจนกว่าจะมีคนมาเรียก” มือผลักแผ่นหลังของผมจมหายเข้าไปภายในห้องนอนเล็กๆ
“รุซ” เจ้าตัวเล็กหันมายิ้มยิงฟันให้ผม ทันทีเมื่อประตูห้องถูกปิดลงจนเหลือเพียงเราสองคน
“ฮึ คืนนี้เรา...มีที่นอนแล้วนะ”
คืนนี้เป็นคืนที่ผมกับลูก้านอนหลับกันอย่างมีความสุขที่สุดในรอบหลายเดือน อาจเพราะเรามีที่นอนนุ่มๆ มีห้องนอนมิดชิด ไม่ต้องคอยหวาดระแวงสัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์มีพิษใดๆ ทั้งยุง ทั้งตะขาบ แมงป่อง งูเล็ก งูใหญ่ที่แวะเวียนมาทำให้เราขวัญกระเจิงไม่เว้นแต่ละวัน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวเล็กยังคงไม่ยอมนอนห่างจากผมแม้แต่ฝ่ามือเดียว
“อยู่ที่นี่ดีจังเลย” เจ้าของขาสั้นป้อมที่ยกขึ้นมาก่ายกอดท่อนแขนผมพูดขึ้นมา
“ลูก้าชอบที่นี่เหรอ”
“อืม มันสะอาดกว่านอนในท่อ รุซเราอยู่ที่นี่ตลอดไปได้มั้ย”
“ไม่รู้สิ...”