ตอนที่ 11 เปิดเผยความลับ

1945 Words
“อื้ม…..” เสียงหวานใสครางขึ้นมาเบาๆหลังจากที่เธอขยับร่างกาย ร่างขาวนวลสวยงามที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ขดตัวลงเล็กน้อยเมื่อความเย็นจัดกระทบผิว แต่แล้วคิ้วเรียวสวยก็ต้องขมวดเมื่อรู้สึกถึงความปวดเมื่อยตามร่างกาย “ตื่นได้แล้วครับ วันนี้เรามีภารกิจนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน เมื่อคนในอ้อมกอดเริ่มขยับกายไปมา สายตาคมกวาดมองเรือนร่างขาวผ่องที่บัดนี้มีร่องรอยจากฝีมือเขา ไม่ว่าจะรอยกัด หรือรอยขบดูด ซึ่งมันเต็มไปทั่วร่างกาย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ทำมันตรงนอกร่มผ้าเพื่อไม่ให้น่าเกลียดเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นบริเวณลำคอระหงก็ไม่อาจห้ามใจได้จริงๆ “ลุกไหวไหม” อ้อมแขนแข็งแรงช่วยพยุงให้หญิงสาวลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นว่าเธอตื่นเต็มตา “…..ไหวค่ะ” “วันนี้พี่เรียกรวมพลหลังจากมื้อเช้า” “เฟิร์นส่งข้อความบอกป๊ากับพี่ฝนเมื่อวาน คิดว่าน่าจะมากันประมาณ 7 โมงครึ่งค่ะ” “นี่ก็จะ 7 โมงแล้ว ลุกไปเตรียมตัวระหว่างรอเสื้อผ้าก็แล้วกันนะ ลุกไหวใช่ไหม” ชายหนุ่มถามเธออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ไหวค่ะ” คำถามของเขาสื่อความหมายตามนั้นจริงๆ เพราะไฟสวาทบนเตียงเพิ่งจะหยุดลงได้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาเกรงว่าหญิงสาวจะระบมทั้งส่วนนั้นและตามร่างกาย ชายหนุ่มรู้ตัวเองดีว่าเขาค่อนข้างหนักมือ เขาอารมณ์รุนแรงในเรื่องเซ็กส์ ติดจะหยาบคายและวิปริตนิดๆเสียด้วยซ้ำ โชคดีของเขาที่หทัยชนกรับมันได้ “อีกรอบแล้วกัน” วชิรวิษมองหญิงสาวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรวบร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วลุกขึ้นจากเตียนนอนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นภายในห้องน้ำก็มีเสียงครางดังระงมสลับกับเสียงเนื้อกระทบกัน ผ่านไปเกือบชั่วโมง ประตูห้องน้ำถึงได้เปิดออกอีกครั้ง หทัยชนกถูกอุ้มมาวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ชายหนุ่มช่วยหญิงสาวเช็ดตัวและหาเสื้อผ้าของเขาให้เธอสวม ก่อนที่เขาจะจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและเปิดประตูออกจากห้องไป เพียงไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง หทัยชนกเห็นของที่อยู่ในมือของเขาก็พยุงตัวเองลุกขึ้น เดินช้าๆเพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่เขาส่งให้มาสวมใส่ แต่งแต้มใบหน้าบางๆด้วยเครื่องสำอางที่น้ำฝนใส่มาให้ในกระเป๋า แล้วคล้องแขนกำยำเดินออกจากห้องไป “สวัสดีครับ” วชิรวิษเป็นฝ่ายเอ่ยทักทาย เมื่อลงมายังด้านล่างแล้วได้พบกับอนุชิตและน้ำฝนนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก “ฉันมาช้าหรือเปล่า” อนุชิตถามแบบนั้นเพราะเขาตามมาทีหลังน้ำฝน “ไม่ช้าครับ ได้เวลามื้อเช้าพอดี” ร่างสูงตอบผู้เป็นทั้งพี่ในวงและพ่อตา ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับหัวหน้าแม่บ้าน เพื่อให้หล่อนเชิญทุกคนไปที่ห้องรับประทานอาหาร อนุชิตกับน้ำฝนมองสบตากันอย่างแปลกใจ พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยพบเห็นคนมีฐานะ แต่นี่ราวกับว่าพวกเขาเคารพวชิรวิษเกินกว่าคำว่าเจ้านายทั่วไป “รับประทานมื้อเช้าก่อนเถอะครับ แล้วผมจะอธิบายให้ทุกคนฟัง” วงแขนแกร่งโอบร่างบอบบางเดินนำทุกคนเข้าไปยังห้องรับประทานอาหาร และพบว่าทุกอย่างถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้ามาถึง อนุชิตกับน้ำฝนนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นอาหารตรงหน้าถูกจัดอย่างสวยงาม “ออกไปรอข้างนอก” “ค่ะ” สิ้นเสียงคำสั่ง เด็กรับใช้ทั้ง 4 คนรวมทั้งหัวหน้าของพวกหล่อนก็เดินออกไปอย่างรู้หน้าที่ “คิว มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกเยอะเลยใช่ไหม” อนุชิตถามพลางมองหน้าบุตรสาว “ก็เยอะอยู่ครับ แต่ไม่ใช่เรื่องอันตรายแน่นอน เดี๋ยวเสร็จมื้อเช้าเราจะคุยกันเรื่องนี้ครับ” วชิรวิษยิ้มจางๆหลังจากตอบคำถามของพ่อตา “ทานข้าวก่อนเถอะค่ะ” หทัยชนกตัดบทก่อนจะนำทุกคนจัดการกับอาหารตรงหน้าเงียบๆ หลังจบมื้อเช้า ทั้ง 4 คนมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น ร่างสูงนั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขของบ้านด้วยท่าทางน่าเกรงขามจนอนุชิตกับน้ำฝนรู้สึกได้ ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวของเขาให้กับทั้งสองคนฟังอย่างละเอียดเหมือนที่เล่าให้หทัยชนกฟัง ทั้งสองคนนิ่งอึ้งไป “แล้วทำไมเวลาอยู่ข้างนอก…..” อนุชิตถามด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ “ถ้าผมอยู่ข้างนอก แล้วใช้ตัวตนของผมที่บ้านในการรู้จักกับพวกคุณ พวกคุณจะเปิดใจหรือทำตัวปกติกับผมไหม” “ก็…..เอ่อ…..คิดว่าคงไม่” “นั่นแหละครับ อยู่นอกบ้าน ผมคือวัยรุ่นคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ในบ้าน ทุกอย่างจะเป็นไปตามการใช้ชีวิตของครอบครัวผมตลอดหลายรุ่นที่ผ่านมา” “…..” “ยศถาบรรดาศักดิ์มันหมดไปตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ผมแล้วล่ะครับ เพียงแต่สายเลือดที่อยู่ในตัวผมมาตั้งแต่เกิด มันหล่อหลอมให้ผมเป็นแบบนี้” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา เมื่อเขาเห็นทั้งอนุชิตและน้ำฝนยังอึ้งอยู่ เขาก็พอเข้าใจ “พร้อมแล้วค่ะคุณท่าน” หัวหน้าเด็กรับใช้เดินเข้ามาบอกผู้เป็นนายของบ้านเบาๆ เมื่อเห็นเขาพยักหน้า หล่อนจึงส่งสัญญาณให้กับเด็กรับใช้คนอื่นๆเข้ามานั่งรวมตัวกัน “ฉันขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการ หทัยชนก หรือคุณเฟิร์น ฉันคิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักดี เธอเป็นภรรยาของฉัน และจะเข้ามาเป็นนายผู้หญิงของบ้านหลังนี้” ทุกสายตามองไปที่ผู้เป็นเจ้านายด้วยแววตาเข้าใจ หลังจากที่เขาแนะนำหญิงสาวให้กับทุกคนรู้อย่างเป็นทางการ “เคารพฉันยังไง ก็เคารพนายผู้หญิงอย่างนั้น เข้าใจที่ฉันพูดไหม” “เข้าใจค่ะ/ครับ” สิ้นเสียงตอบรับ เขาก็พูดเรื่องภายในบ้านอีกไม่กี่เรื่อง ทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตน “ป๊า เป็นอะไร” หทัยชนกส่งเสียงเรียกบิดา เมื่อเห็นเขานั่งอึ้ง “ยังอึ้งอยู่” “เดี๋ยวก็ชินครับ” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพูดพลางยกแขนขึ้นโอบแผ่นหลังบอบบาง “เออใช่ นี่ไม่มีใครรู้เลยใช่ไหม” “ใช่ครับ แต่แรกคือตั้งใจจะไม่เปิดเผย แต่ตอนนี้แต่งงานแล้วนี่ครับ สักวันก็ต้องมีคนรู้ เลยบอกเองเลยดีกว่า เผื่อวันไหนคนข้างนอกรู้มันคงจะดีกว่า ถ้าผมบอกพวกคุณด้วยตัวผมเอง” “อึ้งมากนะเนี่ย ไอ้เฟิร์นล่ะ” อนุชิตหันมาถามบุตรสาวที่นั่งฟังเงียบๆ “เพิ่งรู้เมื่อคืนเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เกินจะคาดเดา แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะขนาดนี้” หญิงสาวตอบบิดาด้วยสีหน้าและแววตาเฉยๆ “หมายความว่ายังไงคะ” วชิรวิษถามภรรยาสาวด้วยความไม่เข้าใจ “ก็เฟิร์นสังเกตมานานแล้วนี่คะ พี่คิวเป็นคนเจ้าระเบียบ ทุกอย่างต้องเป๊ะ รักความเป็นส่วนตัว ไม่ใช้ของใช้หรือเสื้อผ้าร่วมกับใคร ห้องส่วนตัวทุกห้องมีรหัสในการเข้าห้องเกือบทั้งหมด อีกอย่าง บุคลิกพี่คิวจะหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัวเวลาที่เผลอ” “บุคลิกเหรอ?” “ใช่ค่ะ เวลาที่พี่คิวเผลอ บุคลิกใจดี ขี้เล่นมันจะหายไป จะกลายเป็นบุคลิกที่นิ่ง เงียบขรึม ดูแล้วไม่น่าจะเหมือนพวกนักธุรกิจทั่วไป” “พี่ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย” “สิ่งที่เป็นตัวตนของเรา มันซ่อนยากนะคะ ยิ่งเป็นตัวตนต้นกำเนิดของเราด้วย เมื่อถึงเวลา ยังไงก็ต้องหลุดออกมาอยู่ดีค่ะ” วชิรวิษนิ่งไป เขาเองก็ไม่ได้คิดว่าหญิงสาวจะสังเกตเขาขนาดนั้น หรือจะบอกว่าที่ผ่านมาไม่มีใครสังเกตเห็นก็ว่าได้ “อึ้งไปเลยนะเนี่ย เอาล่ะ ไหนว่ามา รักกันตอนไหน” อนุชิตจบเรื่องเครียดลงด้วยการพาทุกคนเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ ตอบไม่ได้เลยค่ะ” “ยังไง ทำไมตอบไม่ได้” น้ำเสียงล้อเลียนบุตรสาว เมื่อเห็นเธอทำหน้าตาเหลอหลา “ก็ตอบไม่ได้จริงๆนะ อยู่ดีๆก็กลายเป็นเหมือนคนรัก คบกันแบบไม่ทันรู้ตัว อยู่ๆก็พูดกันว่าคบกันไปแล้ว อยู่ๆก็ขอแต่งงานเลย” หญิงสาวสรุปออกมาตามที่เธอรู้สึก จนแม้แต่วชิรวิษยังต้องหัวเราะ “ไม่ใช่ท้องก่อนแต่งเรอะ” ดวงตาตี่ตามแบบฉบับลูกครึ่งจีนหรี่ลงยามแซวบุตรสาว “จะบ้าเหรอป๊า ให้ตายก็เป็นไปไม่ได้เลยนะ” “นี่อย่าบอกนะว่าโนซัมติงกันจนจดทะเบียนสมรสอะ” “…..ก็ประมาณนั้น” “โห ไอ้คิว นายแน่มาก นับถือๆ” อนุชิตยกนิ้วให้กับชายหนุ่มด้วยใจจริง เขาคิดว่าทั้งคู่มีอะไรกันตั้งแต่ตอนไปเที่ยวด้วยกันเสียด้วยซ้ำ ทั้ง 4 คนนั่งคุยกันอยู่อีกสักพักใหญ่ ก่อนที่อนุชิตกับน้ำฝนจะขอตัวกลับ วชิรวิษกับหทัยชนกจึงได้พักผ่อน หลังจากได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง หลายวันต่อมา “ก็หล่อดีนะคะ” เสียงหวานใสพูดขึ้นหลังจากที่ตอนนี้ประวัติของสามีเธอได้รับการเปิดเผย เพราะเขาบังเอิญได้ไปออกงานในฐานะประธานกรรมการและผู้ถือหุ้นที่มากที่สุดของบริษัทนำเข้ารถยนต์ขนาดใหญ่ นักข่าวหลายสำนักที่เห็นเขาเลยตามหาประวัติของเขาและทำการโพสต์และตีพิมพ์ ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นที่สนใจและโด่งดังขึ้นมาในสถานะไฮโซเชื้อสายจ้าว “น่าหงุดหงิดจัง” มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิด “ไม่เอาค่ะ ถึงไม่ได้เปิดเผยวันนี้ ก็ต้องมีสักวันที่ต้องเปิดเผย เพราะพี่แต่งงานกับเฟิร์น สักวันก็ต้องมีคนสืบหาประวัติพี่อยู่ดีแหละค่ะ” หญิงสาวพยายามปลอบใจเขาให้ใจเย็นลง “อืม” ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานหงุดหงิดจนไม่สามารถทำงานต่อได้จนต้องหลับตาลงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ “โอเคไหมคะ” “ไม่โอเคเลย” “…..” “เฟิร์น” “คะ” “ทำให้พี่ใจเย็นลงหน่อยสิ” หญิงสาวฟังที่เขาบอกในคราแรกที่ยังคิดไม่ทันก็มองหน้าเขา ก่อนที่เธอจะเข้าใจ เขาก็ลุกจากเก้าอี้ไปกดล็อกประตูห้องนอนและเดินกลับมาล็อกประตูห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว ร่างกำยำเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ข้างกายหญิงสาว ก่อนที่ร่างบอบบางในชุดกระโปรงสวยงามจะลอยหวือมานั่งคร่อมบนตักแกร่งจากฝีมือชายหนุ่มที่นั่งทำหน้าขรึมในตอนนี้ “ยังไม่อิ่มอีกเหรอคะ” “ไม่มีวันอิ่มจ้ะ” “วันนี้ห้ามทำรอยเพิ่มนะคะ พรุ่งนี้เฟิร์นมีงานค่ะ” “งั้นทำรอยตรงอื่นได้ไหม” “ห้ามให้ใครเห็นก็พอค่ะ” และเพียงไม่นาน เสียงคำรามก็ดังก้องไปทั่วห้อง ตามด้วยเสียงสบถคำหยาบคายที่บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ถึงขีดสุดของเจ้าของเสียง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD