“จอดตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าเลยค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคุณ”
แสนคะนึงชี้ไม้ชี้มือร้องบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงลนลาน คล้ายกับกลัวว่าแทนชนม์จะขับเลยไปหรือไม่ยอมให้เธอลงจากรถดีๆ เธอยกเรื่องสายโทร. เข้าจากแฟนสาวสลับกับแม่ของเขาที่ดังอยู่หลายครั้ง เป็นข้ออ้างให้ตัวเองได้ลงจากรถสมใจ
พอรถหยุดลงเธอดีใจจนแทบจะเปิดประตูกระโจนออกทั้งตัวเหมือนสตั๊นต์แมนในหนังแอกชัน แต่พอข้อมมือถูกแทนชนม์คว้าเอาไว้ หัวใจเธอก็เหมือนจะหยุดเต้น แทบไม่กล้าหันหน้ามามองเขาด้วยซ้ำ
“แน่ใจนะว่าคุณกลับเองได้”
แสนคะนึงมองเห็นความห่วงใยที่เผยผ่านดวงตาเรียวคม เธอก็ถอนหายใจ หัวใจที่กระเด้งกระดอนกลับมาอยู่ในอกตามเดิม ก่อนจะพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ
“สบายมากค่ะ ฉันก็แค่ลืมคุณ แต่ไม่ได้ลืมทางสักหน่อย แค่กลับบ้านเองไม่ใช่ปัญหาสักนิด”
หญิงสาวสาบานว่าเธอไม่ได้ตั้งใจพูดจี้ใจดำเขาเลย แค่อยากจะบอกว่าคนความจำเสื่อมอย่างเธอไม่ใช่คนพิการทางสมองที่จะทำอะไรเองไม่ได้ก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไปกระทบใจคนฟังเข้าจังๆ แววตาของเขาจึงหม่นลง ทำเอาเธอพลอยใจหายตามไปด้วย
“คุณรีบไปหาแฟนคุณเถอะค่ะ เธอคงรอแย่แล้ว” แสนคะนึงตัดบทเพราะไม่อยากจะรู้สึกอะไรกับเขา ตอนนี้เธออยากลงจากรถให้เร็วที่สุดมากกว่า
“รัญชน์ไม่ใช่แฟนผม” แทนชนม์ปฏิเสธเสียงเข้ม
“ค่ะๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” แสนคะนึงพยักหน้าหงึกๆ เออออตามเขา อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เธอไม่สน สนแค่เมื่อไรจะลงจากรถไปได้เสียที
เห็นแสนคะนึงทำตัวว่าง่ายอย่างที่พักหลังๆ ยากจะได้เห็น แทนชนม์ก็นึกเอ็นดู ความอบอุ่นอ่อนโยนเอ่อล้นระบายเต็มใบหน้า มือหนายกขึ้นลูบศรีษะทุยเล็กแผ่วเบา เอ่ยอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาว่า
“ไม่ต้องน้อยใจนะ เอาไว้คราวหน้าผมจะพาคุณไปเที่ยวหัวหินใหม่ คราวนี้คุณอยากจะอยู่สักกี่วัน ผมก็จะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง”
แสนคะนึงตกใจจนคลำหาเสียงไม่เจอ ล้อเล่นรึเปล่า เธออุตส่าห์หาทางสลัดเขาทิ้งได้แล้ว เรื่องอะไรจะหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองอีก ทางที่ดีเราสองคนอย่าได้พบได้เจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ ฉันว่าผู้บริหารอย่างคุณคงจะยุ่งจนไม่มีเวลาหรอกค่ะ”
“อย่าดื้อ คุณไม่ต้องมาห่วงผม แค่เตรียมตัวไปเที่ยวให้สนุกก็พอ” แทนชนม์ดุเธอเสียงนุ่ม เลื่อนมือเชยคางเรียวเล็ก สายสบดวงตาอย่างลึกซึ้งแล้วจูบเคล้าริมฝีปากเธอเต็มตื้น ก่อนจะผละออกเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้เธอ รอกระทั่งแสนคะนึงเรียกแท็กซี่ขึ้นไปแล้ว เขาจึงรีบบึ่งรถไปรับรัญชนาทันที
ธุระสำคัญนักหนาที่คุณแม่เขาย้ำว่าให้ไปรับรัญชนาด้วยตัวเอง แล้วพามาพบท่านที่บ้านก็คือการทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันฉันครอบครัวเนี่ยนะ
“คุณป้าทานยำสลัดแซลมอนของโปรดของคุณป้าดูสิค่ะ รัญชน์ลงไปคุมพ่อครัวด้วยตัวเองเลยนะคะ ใส่แต่ผักผลไม้ที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงหัวใจของคุณป้าทั้งนั้นเลยค่ะ” รัญชนาตักเนื้อปลาชิ้นโต พร้อมบีทรูทและแปะก๊วยให้เนื้อทองอย่างเอาใจ
“ขอบใจนะลูก หนูรัญชน์นี่มีน้ำใจจริงๆ อุตส่าห์เป็นห่วงป้า ถ้าป้าได้หนูมาเป็นสะใภ้คงนอนตายตาหลับแล้ว” เนื้อทองยิ้มรับอย่างชื่นอกชื่นใจ
“คุณป้าอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ หนูเองก็รักและเคารพคุณป้าไม่ต่างจากแม่แท้ๆ คนหนึ่ง หนูเต็มใจดูแลคุณป้าค่ะ”
“เห็นแม่เป็นแม่ แล้วจะมัวเรียกคุณป้าอยู่ทำไม ต่อไปนี้หนูก็ถือว่าแม่เป็นแม่อีกคนของหนูนะจ๊ะ” เนื้อทองตบหลังมือหญิงสาวเบาๆ ปากบอกเป็นคู่แม่ลูก แต่สองสาวแค่มองตาก็รู้ใจกันแล้วว่าจริงๆ คือแม่สามีกับลูกสะใภ้
“คุณแม่ทานเยอะๆ นะคะ ยังมีต้มจืดเห็ดหลินเจือหอมๆ ด้วยค่ะ” รัญชนาเอ่ยอย่างเอียงอาย เหลือบมองไปยังแทนชนม์อย่างมีความหมาย
“อย่ามัวแต่ตักอาหารให้แม่อยู่เลย หนูเองก็ทานบ้างเถอะลูก ตาแทนตักกับข้าวให้น้องหน่อยสิจ๊ะ”
แทนชนม์แอบกลอกตาหลายรอบ มารดาเอาแต่สั่งให้เขาคอยเอาอกเอาใจตักกับข้าวให้รัญชนาไม่ขาด สองคนพุดคุยหัวเราะเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แม่มองตาเขาแล้วจงใจเอ่ยหลายครั้งว่ารัญชนาดีอย่างนั่นอย่างนี้ ไม่รู้ต้องทำบุญด้วยอะไร ท่านจึงจะได้หล่อนมาเป็นศรีสะใภ้ เอาจริงๆ ท่านทำราวกับหล่อนเป็นลูกสะใภ้คนโปรดไปแล้วด้วยซ้ำ ทั้งที่สะใภ้ตัวจริงยังอยู่ทั้งคน