ล้วงความลับนะโม
วันต่อมา
“โอ้ยร้อน!!! เมืองไทยหรือทะเลทรายเนี่ย”
อังเปาบ่นอุบหลังจากถูกใช้ให้มาช่วยยกของเพื่อเตรียมงานกีฬาสีในช่วงกลางวันแสกๆ จนแสงแดดสาดส่องลงมาที่กลางกบาลหัวเธอ
“นี่พี่เขื่อน ทำไมไม่หัดใช้ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ไปแบกของฮะ เห็นพวกหนูสี่คนเป็นโคถึกหรือไง”
ไม่รอช้าอังเปาก็สาดคำบ่นชุดใหญ่ใส่หน้ารุ่นพี่ของตัวดีที่ถือโอกาสใช้งานรุ่นน้องแสนบอบบางจนเหงื่อใสไหลอาบไปทั้งตัว
เขื่อนเห็นสภาพของสี่สาวก็อดสงสารไม่ไหวจึงอาสาเอ่ยปากเลี้ยงกาแฟที่ข้างคณะเป็นการตอบแทน
“กินอะไรสั่งเต็มที่เลย พี่เลี้ยงเอง”
“งั้นพวกหนูไม่เกรงใจแล้วนะ”
“เอาเลย ถือเสียว่าตอบแทนที่ใช้แรงงานพวกน้องละกัน”
“อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย”
สามสาวอังเปา ขนมผิง และลูกตาลต่างเลือกเมนูอาหารกันอย่างเคร่งเครียด เพราะมีหลายเมนูมากที่พวกเธออยากกิน ต่างกับนะโมที่เอาแต่กดโทรศัพท์ไม่สนใจคนในโต๊ะ
ติ้ง!
[โยธา : อยู่ไหนเหรอ?]
[นะโม : ทำไมต้องบอก]
[โยธา : ก็อยากรู้ไงครับ เผื่อจะได้แวะไปนั่งมองหน้า]
[นะโม : ประสาท!]
นะโมกดแป้นพิมพ์โทรศัพท์ยิกๆ พลันทำสีหน้าไม่สบอารมณ์จนเพื่อนสาวคนสนิทอย่างอังเปาเผลอชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความสนใจ
“คุยกับใครอ่ะ”
พรึ่บ!
มือเล็กรีบเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าทันที
“หวงเสียด้วย นี่แกมีแฟนเหรอแม่ป้า”
“เปล่า”
“แล้วเมื่อกี้คุยกับใคร”
“ยุ่ง!” สิ้นเสียงของนะโมทั้งโต๊ะก็พากันหัวเราะขบขันอังเปา “ชิ ไม่ยุ่งก็ได้ สรุปจะกินอะไรหื้ม?”
“อเมริ…”
“อเมริกาโนเย็นหนึ่งที่ครับ”
เสียงทุ้มสุขุมทว่าแฝงความนุ่มลึกเล็กน้อยเอ่ยแทรกเสียงนะโม เมื่อหันมองเจ้าของเสียงก็เห็นโยธาในชุดนักศึกษาสวมช็อปสีแดงเลือดหมูเดินเข้ามาพร้อมกับนั่งลงข้างเขื่อน
“พี่โยธา!”
อังเปาเอ่ยเรียกชื่อร่างสูงที่เพิ่งมาถึงด้วยความแปลกใจ ดวงตากลมเบิกกว้างประกายแสงวิบวับหลังจากถูกออร่าความหล่อของชายหนุ่มกระแทกเข้าเต็มใบหน้าของเธอ
“นี่ไอ้โยธาเพื่อนสนิทพี่เอง ส่วนสี่คนนี้รุ่นน้องกู”
นะโมมองหน้าโยธาอย่างไม่เชื่อสายตา เธอไม่คิดว่าเขาจะโผล่มาอยู่ตรงหน้าเธอเร็วขนาดนี้ ต่างจากโยธาที่ยกคิ้วกวนประสาทใส่เธอ
“อ้อเมื่อกี้แกจะสั่งอะไรนะ” อังเปาดึงสติกลับมาได้ก็หันมาถามนะโมใหม่อีกครั้ง
“อเมริกาโนมะพร้าว”
“แหวะ เมนูนี้อีกแล้ว อิ๋วว!!”
ตอนแรกเธอจะสั่งอเมริกาโนเย็นธรรมดา แต่ไม่อยากให้เหมือนโยธาจึงเปลี่ยนใจสั่งอเมริกาโนมะพร้าวแทน
“งั้นเดี๋ยวกูแนะนำให้รู้จัก คนแรกชื่อน้องลูกตาล คนที่สองน้องขนมผิง คนที่สามยัยอังเปา แล้วก็คนที่สี่…”
“น้องนะโม” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“นี่มึงรู้จักน้องนะโมด้วยเหรอ?”
“อืม คืนนั้นที่งานวันเกิดรุ่นน้องมึง…กูบังเอิญเจอ”
“งานวันเกิดยัยอังเปาอะนะ?”
“เอ๊ะ วันนั้นพี่โยธาไปด้วยเหรอคะทำไมอังเปาไม่เห็นพี่เลยล่ะ”
ทุกคนเริ่มให้ความสนใจโยธา โดยเฉพาะเหล่าเพื่อนสนิทของนะโมที่มักชอบชวนคนหล่อคุยจนนะโมเริ่มหวั่นใจ เกรงว่าโยธาจะเปิดเผยความลับระหว่างเขาและเธอ
“ฮึ่ม!”
หญิงสาวกระแอมเสียงในลำคอ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจ
“ว่าแต่พี่ไปกี่โมงคะ ความจริงหนูต้องเห็นบ้างแหละพี่ออกจะหล่อ”
“พี่ไปแป๊บเดียว แค่แวะเอาของไปให้เขื่อนแล้วก็กลับ”
“หว้าเสียดายจัง น่าจะอยู่นานๆ นะคะ”
“พอดีตอนนั้นพี่กำลังติดพัน…”
ดวงตาเรียวเล็กราวกับเหยี่ยวเหลือบมองนะโมซึ่งกำลังมองหน้าโยธากลับด้วยสีหน้าที่นิ่งกว่าปกติหลายเท่าซึ่งหมายความว่าเธอกำลังไม่ปกติ
“ติดพัน….” อังเปาลากเสียงตามด้วยความสงสัย
“ติดพันธุระน่ะ”
สิ้นเสียงของโยธานะโมก็โล่งอกจนเผลอถอนหายใจดังไปหน่อยทำให้เพื่อนๆ ของเธอหันมอง
“นะโม แกเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงๆ ล่ะ หรือจะเป็นลม!” ขนมผิงว่าพลางทำหน้าตาตื่นตกใจ
“เป็นลมมันต้องหน้าซีดไม่ใช่เหรอ?”
ลูกตาลเอ่ยขัดพลันเขกหัวน้องเล็กในกลุ่มอย่างขนมผิงเบาๆ
“เจ็บนะลูกตาล”
“เจ็บอะไรเขกเบาๆ เอง”
“แต่ลูกตาลมือหนักไง”
“โอ๋ๆๆๆ ไหนเจ็บตรงไหนเดี๋ยวเป่าเพี้ยงให้”
“ไม่ต้องเลย ชอบตบหัวแล้วลูบหลังตลอด”
“พวกแกเลิกงอนกันก่อน”
อังเปาหันไปปามเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งเถียงกันก่อนจะหันไปสนใจนะโมต่อ
“สรุปแกเป็นอะไรหรือเปล่ายัยแม่ป้า”
“ไม่มีอะไร แค่ร้อนน่ะ”
“ต้องโทษไอ้พี่เขื่อนเลย! ถ้าพี่ทำแม่ป้าของเราเป็นลมขึ้นมานะ หนูจะ…”
“จะอะไรหื้มอังเปา?”
“จะ..!! แย่งขนมพี่กิน!!”
ว่าจบอังเปาก็ใช้ช้อนปาดหน้าขนมเค้กของเขื่อนมากินอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนถูกปาดหน้าเค้กถึงกับอ้าปากค้างด่าไม่ทัน
“น้องอังเปา” โยธาเอ่ยเรียก
“คะ?”
“พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ได้สิคะ ถามเยอะๆ ก็ได้”
“ทำไมถึงเรียกนะโมว่าแม่ป้าเหรอ?”
คำถามของโยธาทำเอาเพื่อนๆ ทั้งสามคนของนะโมหันมองหน้าและหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ก็ดูสิคะ มันออกจะสวยแต่กลับชอบทำตัวเป็นแม่ป้า ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ แว่นหนาเตอะ แถมยังผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงนี่อีก ที่สำคัญนะ ชอบเอาหน้าสดมามหาวิทยาลัย”
“หน้าสดฉันไม่ดีตรงไหน?” นะโมรีบโต้ขึ้นทันที
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้าแต่งหน่อยคือแกมีแฟนชัวร์”
“ไม่ได้อยากมีสักหน่อย”
“ไหนขอกรีดหัวใจออกมาดูหน่อยว่ามันกลายเป็นน้ำแข็งไปหรือยัง”
อังเปาแกล้งเพื่อนสาวทำท่าจะแหวกอกนะโมกรีดดูหัวใจแต่กลับถูกนะโมแกล้งกลับจี้เอวที่เป็นจุดอ่อนของเธอจนสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน
โดยเฉพาะโยธาที่มองความน่ารักของนะโมจนไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย เวลาที่หญิงสาวยิ้มเขาก็รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกลายเป็นสีสดใสขึ้นมาทันที
“โอ้ยพอแล้ว! ฉันหัวเราะจนกรามค้างแล้วเนี่ย”
“ใครสั่งให้แกล้งฉันก่อนล่ะ”
“น้องนะโมชอบผู้ชายแบบไหนเหรอ?”
คำพูดของอังเปาก่อนหน้านี้ทำให้เขื่อนเริ่มสงสัยในสเปคของเด็กเรียนอย่างนะโมเช่นเดียวกัน จึงเอ่ยปากถาม ซึ่งทำให้ชายหนุ่มที่นั่งข้างเขื่อนวางแก้วกาแฟในมือลงและตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
นะโมลูบปลายคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด เธอเองก็ไม่ได้มีสเปคที่สูงอะไรมาก ขอแค่…
“หล่อ ฉลาด คุยด้วยกันรู้เรื่อง มีความเป็นผู้นำ ถ้าสุขุมได้ก็จะดีนะโมไม่ชอบคนกะล่อน เล่นกีฬาเก่งก็ชอบ ไม่เรื่องมาก ไม่ติดหรู ใช้ง่าย อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ ที่เหลือก็แค่คุยถูกคอก็โอเค”
“เฮ้อขนาดน้องนะโมยังพ่ายแพ้คนหล่อเลย”
“ผู้ชายหล่อก็เหมือนดอกไม้ เห็นสิ่งสวยงามแล้วมันจรรโลงใจไม่ใช่เหรอคะ?”
เธอตั้งใจแซะเขื่อนเพราะก่อนหน้านี้เคยได้ยินเขาเปรียบเปรยผู้หญิงว่าเป็นดอกไม้ ยิ่งสวยยิ่งดึงดูด มองดูแล้วจรรโลงใจ ซึ่งในยุคที่หญิงชายเท่าเทียมกันเช่นนี้ ผู้หญิงจะมองผู้ชายเป็นดอกไม้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก