ครึ่งชั่วโมงถัดมา...
“เราจะอยู่ที่นี่กันจริงๆ เหรอครับแม่ บ้านผีสิง” น้องนนท์เอ่ยถามเมื่อผู้เป็นแม่พาเข้ามาในห้องพักขนาดเล็ก มันช่างต่างจากบ้านหลังเดิมที่มีพื้นที่ให้เด็กอย่างน้องนนท์วิ่งเล่น รอบบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้ ผักสลัด ผักสวนครัว ที่ผู้เป็นแม่ชอบปลูกเอาไว้
คงเพราะสภาพห้องเช่าโทรมๆ น้องนนท์จึงจินตนาการไปแบบนั้น หรือว่าแกเห็นอะไร คุณแม่ยังสาวเริ่มเลิ่กลั่ก กวาดสายตาคู่สวยมองไปรอบๆ ห้อง พร้อมถอนหายใจพรืดยาว พลางปลอบใจตัวเอง
‘เอาน่า ผีไม่มีในโลกหรอก ต่อให้มีก็เหมือนรักแท้แหละ ถึงรู้ว่ามีแต่ก็หาไม่เจอ’
‘ถ้ามีก็อย่าปรากฏตัวนะคะ มาบอกสามตัวตรงๆ ในฝันละกัน ลูกจะทำบุญชุดใหญ่ จัดเต็มให้เลย’
พอเห็นน้องนนท์ที่ยืนมองห้องเช่าแบบงงๆ แล้วยังย่นคอทำท่าหวาดกลัว นิชาดาก็รีบพูดปลอบ “เอ่อ...อดทนหน่อยนะลูก แม่สัญญาว่าอีกไม่นานจะพาน้องนนท์ไปอยู่บ้านที่มีสวนให้วิ่งเล่นเหมือนเดิม” หญิงสาวพูดอย่างตั้งมั่น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องทำให้ชีวิตเธอกับลูกดีขึ้นให้ได้
ห้องพักที่หญิงสาวเลือกเป็นห้องพักราคาถูก ผนังก็สีถลอก ทำให้ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากนัก ภายในห้องมีแค่ห้องนอนกับห้องน้ำ แต่หญิงสาวก็ไร้ทางเลือก เพราะลำพังแค่ค่ามัดจำและค่าห้องที่ต้องจ่ายล่วงหน้าหลายเดือนก็ราคาเป็นหมื่นกว่าบาทแล้ว หากต้องหาห้องเช่าที่ราคาสูงกว่านี้เธอคงสู้ไม่ไหวเช่นกัน ไหนจะกินจะใช้ทุกวัน คนที่ไม่เคยอยู่จุดนี้ไม่เข้าใจหรอก ทุกบาททุกสตางค์ที่ต้องจ่ายต้องคิดอย่างถี่ถ้วน เพราะหากเงินไม่พอใช้จะหันหน้าไปพึ่งใครได้
“เอาน่าน้องนนท์ แม่นีลสัญญา เราจะไม่อยู่ที่นี่ตลอดไป เราแค่มาพักชั่วคราว”
ปกติแล้วเวลาที่ต้องไปทำงาน นิชาดาจะพาน้องนนท์ไปฝากเลี้ยงกับป้าร้านขายของชำแถวบ้าน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หญิงสาวจำเป็นต้องพาน้องนนท์ไปทำงานด้วยที่โรงพยาบาลที่เธอประจำอยู่ โชคดีที่เด็กชายเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ไม่ดื้อ ไม่ซน แค่ช่างซักกับสนใจสิ่งรอบตัวเสมอ ทำให้คนเป็นแม่ต้องเหนื่อยใจ เมื่อพามาที่โรงพยาบาลน้องนนท์ก็เลยนั่งเล่นอยู่เงียบๆ ในห้องอาหารของพนักงานเท่านั้น ในขณะที่นิชาดาก็ออกไปดูแลคนไข้ ทำหน้าที่พยาบาลตามปกติ
“นีล…” ขณะที่เธอกำลังเดินกลับจากไปดูแลคนไข้นั้น เสียงใสของหญิงสาวคนหนึ่งก็เรียกเธอจากด้านหลัง นิชาดาหันไปมองหญิงสาวผู้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ใบหน้าถูกแต่งแต้มให้ดูกลายเป็นผู้ใหญ่ต่างจากภาพเก่าที่เธอคุ้นเคย แต่ถึงอย่างนั้นนิชาดาก็จำได้ดีว่าเธอคือใคร ‘ชนัญญา ภักดีตระกูล’ เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวในสมัยเรียนของเธอ
“ชญา…แกมาทำอะไรที่นี่” นิชาดายิ้มออกมาด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ เพราะเป็นไปได้ยากที่เพื่อนสาวของเธอจะมาปรากฏตัวที่โรงพยาบาลรัฐเช่นนี้ ด้วยครอบครัวของชนัญญาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนที่มีสาขาทั่วประเทศไทย และมีสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงไม่มีความจำเป็นที่ชนัญญาจะมาที่นี่เลยสักนิด
“คิดถึงจังเลย แกเป็นไงบ้าง” ชนัญญาเดินเข้ามาจับมือผู้เป็นเพื่อนด้วยความดีใจไม่ต่างกัน ตั้งแต่เรียนจบเธอกับนิชาดาแทบไม่ได้ติดต่อกัน ความจริงต้องบอกว่าเธอสองคนเริ่มห่างกันตั้งแต่ก่อนจะเรียนจบด้วยซ้ำ ทั้งที่เธอไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้ แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่างที่น่าอึดอัดในช่วงเวลานั้น ทำให้เธอกับนิชาดาต้องห่างกันอย่างห้ามไม่ได้
“ฉันก็คิดถึงแก มานั่งคุยกันก่อนสิ” นิชาดาพาเพื่อนสาวเข้าไปในโรงอาหารของพนักงาน โชคดีที่เวลานี้เป็นเวลาพักของเธอพอดี ทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนบ้าง
“แม่นีลกลับมาแล้ว!” ทันใดนั้นน้องนนท์ก็รีบวิ่งปร๋อเข้ามาหาผู้เป็นแม่ทันทีด้วยความดีใจ
“แม่งั้นเหรอ…” ชนัญญามองเด็กชายที่เข้ามาโอบกอดนิชาดาด้วยสายตาสงสัย แต่ก็คิดได้ว่าเพื่อนของเธอเป็นหญิงสาวเสน่ห์แรงมาแต่ไหนแต่ไร คงไม่แปลกที่จะมีครอบครัวแล้ว
“น้องนนท์ไหว้เพื่อนแม่สิลูก นี่น้าชญาครับ” นิชาดาบอกกับลูกชาย ก่อนที่น้องนนท์จะยอมทำตามแต่โดยดี
“ไปเล่นคนเดียวก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ขอคุยกับเพื่อนแป๊บหนึ่งครับ” นิชาดาบอกลูกชาย โดยที่น้องนนท์ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะพาชนัญญาไปนั่งคุยด้วยกัน
“ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าแกมีลูกแล้ว” ชนัญญายิ้มให้เพื่อนสาวด้วยสายตายินดียิ่ง แต่ก็งงอยู่ลึกๆ คาดคะเนจากรูปร่างหน้าตาของเด็กคงสักสองขวบเศษถึงสามขวบเศษ ไม่น่าจะน้อยหรือมากกว่านี้ ซึ่งคิดย้อนไปก็ไม่เคยได้ยินข่าวการตั้งครรภ์ของเพื่อน
“อื้ม ลูกเราเอง ก็เราไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลยนี่ ว่าแต่แกเป็นไงบ้าง” นิชาดายิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
ทันใดนั้นชนัญญาก็แววตาเศร้าลงทันทีจนคนเป็นเพื่อนอดเป็นห่วงไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า มีอะไรไหม” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยหัวใจเต้นรัว เธอนึกห่วง ‘เขาคนนั้น’ ขึ้นมาอย่างไม่สามารถห้ามได้
“เมื่อเดือนก่อนคุณพ่อคุณแม่ฉันประสบอุบัติเหตุ คุณพ่อท่าน…เป็นอัมพฤกษ์ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนคุณแม่…ท่านเสียแล้ว” ชนัญญาพูดด้วยน้ำเสียงสั่น พยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แม้เรื่องจะผ่านไปได้หนึ่งเดือนแล้ว แต่เธอก็ยังไม่สามารถทำใจกับความสูญเสียครั้งนี้ได้
“ชญา…ฉันเสียใจด้วยนะ” นิชาดานิ่งไป เมื่อทราบว่า ‘วิมาดา’ แม่ของเพื่อนรักได้เสียชีวิตแล้ว เธอได้แต่อโหสิกรรมเรื่องที่ผ่านมาในใจ
“อื้ม ขอบใจมากนะ ฉันคิดว่าสักวันฉันคงจะเข้มแข็งขึ้นได้ ว่าแต่แกล่ะเป็นไงบ้าง” ชนัญญาส่งยิ้มจางๆ ให้กับนิชาดา
“เฮ้อ ชีวิตฉันช่วงนี้ซวยซ้ำซ้อน เมื่อสองวันก่อนบ้านฉันไฟไหม้ โชคดีที่ฉันพาน้องนนท์ออกมาได้และไม่มีใครเป็นอะไร แต่บ้านฉันตอนนี้เหลือแต่เสาแค่นั้นเลย แถมบ้านที่เป็นต้นเพลิงก็ตายทั้งบ้าน จะให้ฉันไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับวิญญาณก็คงไม่ได้ ช่วงนี้ก็ลำบากหน่อย ต้องออกไปหาห้องเช่าอยู่น่ะ” นิชาดาส่งยิ้มให้เพื่อน แต่แววตาแสนเจ็บปวดจนไม่สามารถปิดบังคนฟังได้