ตอนที่ 4 ทะเลาะรุนแรง

1658 Words
สำหรับหลีเสี่ยวหลินแล้ว ใครจะออกเงินซื้อบ้าน มันก็ไม่สำคัญ แต่ไม่ใช่กับพ่อแม่ของเธอ ยิ่งต่อหน้าญาติ ๆ ก็คิดว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อย่างไรเสียลูกสาวของตนนั้นยอดเยี่ยมมาก ในบรรดาญาติ ๆ ก็ไม่เป็นสองรองใคร แต่ตอนนี้มาแต่งงานกับเด็กส่งของ น้ำเสียงจึงเปลี่ยนไปตามลำดับ น้ำเสียงนี้ เป็นแบบนี้มาสามปีกว่า… ลองนึกดู สามปีมานี้เมิ่งเฟยผ่านพ้นมันมาได้ยังไง หากไม่ใช่เพราะเขารักหลีเสี่ยวหลินมาก คงบอกลาไปนานแล้ว! หลังจากหลีเสี่ยวหลินเอ่ยจบ ห้องรับแขกจึงตกอยู่ในความเงียบ เมื่อมองไปที่ทั้งสามคน ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ราวกับโดนกดจุดเลือดลมในร่างกาย ทว่า เปล่าประโยชน์ ยิ่งหลีเสี่ยวหลินเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดว่าเมิ่งเฟยทำให้ลูกสาวของตนเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนหลีเสี่ยวหลินไม่ใช่คนแบบนี้ ว่านอนสอนง่าย แต่ยามนี้ กลับกล้าที่จะเถียงพวกเขา ดังที่คาดไว้ มีคนกำลังโมโห คนแรกที่เริ่มเดือดคือหลี่เสียวหย่า เธอยืนอยู่ที่เดิมแล้ว กรีดร้องออกมาอย่างควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็เเดินเข้าห้องไป ท่าทางนั้น แยกเขี้ยวยิงฟัน  จนผมยาวสะบัดไปตามร่างกายอย่างบ้าคลั่ง เหมือนอยากจะฆ่าคนอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าเธอเกลียด “พี่เขย” คนนี้มากแค่ไหน หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์นี้ เด็กสาวคนนี้คงจะลงมือไปแล้ว เธอเป็นคนอารมณ์ร้อนพอสมควร ตามด้วย หลี่เจี้ยนจวินทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็กลับห้องไป เหลือเพียงหลิวเยี่ยนฮว๋า ที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น    ผ่านไปราวสิบวินาที หลิวเยี่ยนฮว๋าหันกลับมา เธอถอนหายใจ และเดินไปข้าง ๆ หลีเสี่ยวหลิน พร้อมกับปลอบโยนว่า “นังหนู ทุกอย่างที่ป๊าม๊าทำเพราะเพื่อลูก ทำไมลูกถึงไม่รู้อะไรเลย เมื่อก่อนลูกไม่เคยเป็นแบบนี้นะ!” พอเอ่ยถึงตรงนี้ ก็จ้องไปที่เมิ่งเฟย จากนั้นจึงผ่อนน้ำเสียงลง และลากหลีเสี่ยวหลินเข้าห้อง เธอเดินไปพูดไป “หยุดร้องได้แล้วลูก ป๊ากับม๊าทำเพื่อลูกนะ เชื่อป๊ากับม๊า อีกสองสามวันไปจัดการให้เรียบร้อย เด็กดี… ” “ถ้าลูกไม่สบายใจ ก็ออกไปเที่ยว ออกไปผ่อนคลายสักหน่อย หรือจะให้ป้าหลิวแนะนำหนุ่มหล่อฐานะดีให้สักคน ทางนั้นน่ะมีหนุ่มโสดดี ๆ หลายคนเลย เลือกมาสักคน ดีกว่าเด็กส่งของนั่นเป็นร้อยเท่า ทำไมลูกถึงได้โง่ขนาดนี้ จะฝากชีวิตไว้กับคนแบบนั้นหรือไง? ”   หลีเสี่ยวหลินยังคงร้องไห้ คิดว่าแม่จะเห็นใจเธอ และเห็นความดีของเมิ่งเฟย แต่ไม่คิดเลย ว่าแม่จะพูดแบบนี้ออกมา เธอรีบปล่อยมือออกในทันที แล้วร้องไห้หนักขึ้น “ม๊า นี่ม๊าทำอะไร จะบังคับหนูให้ตายเลยหรือไง?”  “หนูไม่สน อะไรที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด หนูพูดออกไปหมดแล้ว ทุกคนไม่เห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย ชีวิตนี้หนูตกลงปลงใจกับเมิ่งเฟยแล้ว!เมิ่งเฟย เราไปกันเถอะ ไม่ต้องอยู่บ้านหลังนี้แล้ว นี่ไม่ใช่บ้านของเรา เราย้ายออกกันเถอะ!” เมิ่งเฟยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ยังคงไม่กล้าพูดอะไร แม้ว่าหลีเสี่ยวหลินจะพูดมาขนาดนี้แล้ว เขายังคงไม่ขยับไปไหน แต่หลิวเยี่ยนฮว๋าที่อยู่อีกฝั่ง โกรธสุดขีด ตัวสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ แทบจะใช้สายตาฆ่าเมิ่งเฟยให้ตาย เมิ่งเฟยทำตัวไม่ถูก ไม่มีความมั่นใจที่จะเอ่ยคำใด เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย และไม่ได้เอ่ยอะไรเหมือนเดิม แต่ในตอนนั้นเอง หลีเสียวหลินเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ของเมิ่งเฟย แล้วฉุดลากเขาขึ้นมา เพื่อที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้  เวลานี้ หลิวเยี่ยนฮว๋าเริ่มกลัว เธอรู้ดีว่าลูกสาวของเธอนั้นจริงจัง จึงรีบพูดว่า “ได้ ม๊าจะฟังแก พอใจหรือยัง?” “มา ๆ ๆ รีบกลับมา ไม่ต้องร้องแล้ว จะไปไหนอะ ที่นี่ต่างหากเป็นบ้านของลูก! ” หลีเสี่ยวหลินมองแม่ที่กำลังง้องอนตน จึงไม่ได้เอ่ยอะไร และดึงเมิ่งเฟยกลับไปที่ห้องนอนของทั้งสอง ทั้งสองที่เพิ่งเข้าห้องไป ก็ได้ยินหลิวเยี่ยนฮว๋าตะโกนอยู่ด้านนอก “เมิ่งเฟย แกมันไอ้คนระยำ ฉันจะให้เวลาแกอีกหนึ่งปี ถ้าแกยังสันดานแบบนี้อยู่ ฉัน ฉันจะ…คอยดูเถอะ! ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ เมิ่งเฟยถึงกับโล่งอก ไม่ใช่เพราะโชคดีที่มีเวลาเหลืออีกหนึ่งปี แต่เป็นเพราะว่าแม่ยายของเขาจะไม่มาวุ่นวายกับหลีเสี่ยวหลินแล้ว หากมาหาเรื่องเขาก็ไม่เป็นไร สองสามปีมานี้มีวันไหนบ้างที่ไม่หาเรื่องเขา เขาน่ะชินนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้หลีเสี่ยวหลินมารับความไม่เป็นธรรมไปกับเขาด้วย เรื่องนี้ ในที่สุดก็ผ่านพ้นไป! เมิ่งเฟยยืนอยู่ด้านข้าง มองดูหลีเสี่ยวหลิน แล้วหยิบกระดาษเช็ดหน้ายื่นให้เธอ “เสี่ยวหลิน ฉันมันไม่ดีเอง ฉันมันไม่มีอนาคตไกล ไม่งั้น… ”   “พูดจริง ๆ นะ ทุกครั้งที่เห็นเธอร้องไห้ ใจของฉันมันจะแตกสลาย ถ้าอย่างงั้น…เราอย่ากันเถอะ!”   หลีเสี่ยวหลินที่เพิ่งจะรับกระดาษเช็ดหน้ามา ยังไม่ทันที่เธอจะได้เช็ดน้ำตา มือก็ค้างอยู่กลางอากาศไปชั่วขณะ เงยหน้ามองไปยังเมิ่งเฟย “นายบื้อเหรอ หรือว่าบ้าไปแล้ว ฉันรักนายขนาดนั้น นายยังจะอย่ากับฉันอีกเหรอ?!” “ฉัน…” เมิ่งเฟยไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้ว เขายืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับกลืนน้ำลาย และรู้สึกกระสับกระส่าย หลีเสี่ยวหลินเมื่อเห็นว่าเมิ่งเฟยไม่ได้เอ่ยอะไร เธอเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ พร้อมกับถอนหายใจ “เอาแบบนี้ นายไม่ต้องส่งของแล้ว ฉันยังมีเงินเก็บอีกสองแสนหยวน นายเอาเงินก้อนนี้ ไปทำอะไรก็ได้ที่นายอยากทำ ถือว่าเป็นทุนในการเริ่มต้นเปิดกิจการ ” “นาย ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาแบบนี้แหละ มีแค่นายกับฉันที่รู้ เข้าใจไหม?” เมิ่งเฟยคิดหาเหตุผลที่จะปฏิเสธหลายอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทางเศร้าใจของหลีเสี่ยวหลิน เขาก็พูดไม่ออกสักคำ   เงินสองแสนหยวน ฟังเหมือนเป็นเงินจำนวนไม่น้อย แต่ที่เจียงเฉิง ไม่ต้องพูดถึง ค่าเช่าบ้านประมาณแสนกว่าหยวน นั่นยังเป็นเพียงแค่พื้นที่เล็ก ๆ เงินสองแสนหยวนนี้เอาไปทำอะไรได้บ้าง เมิ่งเฟยไม่รู้เลย ทว่า เขารู้ ว่าเงินนี้เป็นเงินที่หลีเสี่ยวหลินเก็บมาอย่างยากลำบาก จะเสียเงินไปโดย เปล่าประโยชน์ ไม่ได้เด็ดขาด  เช้าวันต่อมา เมิ่งเฟยตื่นนอนตอนตีห้า หลังทำอาหารเช้าเสร็จ ก็ตรงไปที่บริษัท พัสดุเจียงเฉิง “เฮ้ เฮียเมิ่ง วันนี้มาเช้าจัง!” คนที่พูด เป็นคนที่ทำงานด้วยกันกับเมิ่งเฟย ชื่อจางเฉียง ความสัมพันธ์ของทั้งสองถือว่าไม่เลว “ใช่สิ วันนี้พัสดุมีหลายชิ้น ถ้าไม่รีบมาก็ส่งไม่หมดน่ะสิ เฉียงจื่อ นี่นายเป็นอะไร ทำไมขอบตาถึงดำขนาดนั้น เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ? ”  เมิ่งเฟยเล็งไปที่จางเฉียง คิดว่าเมื่อวานหมอนี่ต้องโต้รุ่งแน่นอน ไม่อย่างงั้นตาจะดำเหมือนหมีแพนด้าได้ยังไง “นี่ ฉันไม่เหมือนเฮียนะ ที่มีเมียทั้งสวยทั้งรวย แถมยังมีที่พึ่งมีทุน มีกินมีใช้ตลอด ไม่ต้องเก็บเงินซื้อบ้าน ฉันน่ะต้องพึ่งตัวเอง!นี่ถ้าไม่หางานกะกลางคืน จะหาเงินได้สักเท่าไร ฉันไม่มีทางเลือก ชีวิตช่างยากลำบาก! ”  คำพูดนี้ หากเป็นคำที่พูดออกมาจากปากของคนอื่น เมิ่งเฟยจะคิดว่ามีความหมาย แอบแฝงแน่นอน แต่มันดันออกมาจากปากของจางเฉียง เขาไม่มีทางคิดแบบนั้นอย่างเด็ดขาดเพราะพวกเขาสองคนรู้จักกันมานาน เมิ่งเฟยรู้จักจางเฉียง ตั้งแต่ยังไม่ได้รู้จักหลีเสี่ยวหลินซะอีก และความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองก็ดีมาก ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เรียกว่าเป็นเพื่อนซี้กันเลยก็ว่าได้   “นั่นสิ ฉันเอาใจช่วย ถ้ามีเงิน ก็มีเกียรติ! ” ทั้งสองคนเพิ่งคุยกันได้ไม่กี่ประโยค ก็เห็นชายอ้วนท้วมคนหนึ่งเดินออกมาจากประตู อายุราวห้าสิบปี บนศีรษะมีเพียงเส้นผมไม่กี่เส้น ที่กำลังแกว่งไหวไปตามสายลมอ่อน ๆ เขาคือเถ้าแก่ของบริษัทพัสดุเจียงเฉิงนั่นเอง “พวกแกสองคนทำอะไรกันอยู่?ทำงานต้องใช้ปากทำด้วยหรือไง?รีบ ๆ เข้า วันนี้พัสดุเยอะ ถ้าส่งไม่เสร็จ กลางวันห้ามกินข้าว!” ชายอ้วนท้วมทิ้งคำพูดจาแรง ๆ ไว้ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับห้องไป ท่าทีนั้น ชักจะเหมือนผู้นำประเทศเข้าไปทุกที เขาเป็นเถ้าแก่บริษัทส่งของ หากเขามีเงินอีกสักนิด คงจะอยู่สูงเท่าดวงอาทิตย์บนฟ้าแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD