จบแล้ว...
ฝันหวานๆ ที่เธอเคยวาดหวังมาตลอดสิบปี ตอนนี้มันจบสิ้นแล้วจริงๆ
ลัลล์นลินบอกตัวเองซ้ำๆ ขังตัวเองอยู่ภายในห้องโดยไม่รู้เดือนรู้ตะวัน เวลาเดียวที่เธอจะออกนอกห้องคือเวลาอาหารของคุณปู่ หลังจากนั้นเธอจะเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง จมอยู่กับความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่ไม่รู้จบ
เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว?
บางที... คงจะผ่านวันที่เธอต้องเข้าพิธีหมั้นหมายกับเจษณะไปแล้ว
ตั้งแต่วันที่เธอประกาศตัดขาดกับเขา ทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็นความว่างเปล่า เธอก็ไม่พบหน้าเจษณะอีกเลย เขาไม่เคยเหยียบมาที่ห้องนี้อีก ส่วนเธอก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเขา
คนอื่นๆ ก็พลอยหายหน้ากันไปหมด เธอพอได้ยินเสียงพูดคุยของพวกสาวใช้และคนงานในบ้านบ้างเป็นครั้งคราว เดาว่าทุกคนคงขะมักเขม้นเตรียมงานหมั้นกันอย่างตื่นเต้น
งานหมั้นไม่ได้ถูกยกเลิก
ถึงเธอจะไม่ได้เข้าพิธีก็ไม่มีปัญหา เพราะมีตัวแทนรอท่าอยู่แล้วทั้งคน...
ไม่สิ! อมลฉวีไม่ใช่ตัวแทนเธอ แต่หล่อนเป็นตัวจริงที่เจษณะเฝ้ารอคอยอยากจะแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันต่างหาก
ลัลล์นลินยิ้มขื่น รับรู้ถึงความไร้ค่าไร้ตัวตนของเธอสำหรับคนในบ้านหลังนี้ได้อย่างชัดเจน ความปวดร้าวทำให้เธอหมดแรงทิ้งตัวนอน หลับตาแน่น พยายามข่มใจไม่ให้คิดมาก เฝ้าปลอบตัวเองว่า
เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว...
อย่าเสียใจ...
เขาไมได้รักเธอ ทำใจซะหลิน!
ใช่... เธอวิงวอนขอความรักจากเขาอย่างน่าเวทนา แทบจะหมอบอยู่แทบเท้าของเขา แต่ไม่เคยได้รับการยอมรับ บังคับไม่ได้ และเธอก็ไม่อยากบังคับด้วย
ของที่ไม่ใช่ของเธอ ทำยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี...
ลัลล์นลินสั่งตัวเองตลอดว่าห้ามร้องไห้ เพราะไม่ว่าเธอจะร้องเสียงดังแค่ไหน สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจก็ไม่มีใครได้ยิน หรือถึงได้ยินก็คงไม่มีใครสนใจ ต่อให้น้ำตาของเธอไหลออกมาจนท่วมโลกก็ไม่มีประโยชน์ เธอไม่มีใครที่จะพึ่งพาได้นอกจาก ‘ตัวเอง’
น้ำตาของเธอจึงเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า... เป็นการประจานความอ่อนแอออกมาให้คนอื่นหัวเราะเยาะ!
ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งคิดเธอยิ่งเจ็บปวด ยิ่งอ่อนแอ น้ำตาไหลรินชุ่มหมอน ต้องนอนขดตัวกอดตัวเองอยู่ในผ้าห่มผืนหนา เผื่อบางทีอาจจะช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวได้บ้าง จากนั้นก็หลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ลัลล์นลินตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยมาเตะจมูก มันฉุนกึกจนทำให้เธอตาสว่าง เธอลุกนั่งมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่คุ้นเคยยืนมองเธอเงียบๆ อยู่ข้างเตียง เธอมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เพราะมันถูกซ่อนเอาไว้ในความมืดสลัว
เธอจึงไม่รู้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน?
และเข้ามาที่ห้องนี้ด้วยจุดประสงค์ใด?
แม้จะสงสัย แต่ลัลล์นลินไม่มีความคิดกระตือรือร้นที่จะริเริ่มพูดคุยกับเขาก่อน เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเขา
แสดงความยินดีกับเขาและอมลฉวีอย่างนั้นหรือ?
เขาคงไม่ต้องการ...
หญิงสาวเอาแต่นิ่งเงียบราวกับจะทนสอบความอดทนกับเจษณะ เขาเองก็ยืนนิ่งไม่ขยับและไม่เอ่ยอะไรสักคำ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ที่ทอดยาว ราวกับกำลังข่มความไม่พอใจอะไรบางอย่าง
เจษณะสำรวจหญิงสาวอย่างละเอียด แม้จะมีเพียงแสงสลัวเหลืองนวลจากโคมไฟหัวเตียง และแสงจันทร์ที่สาดส่อง แต่เขาก็รู้ว่าลัลล์นลินผอมลงอีกแล้ว
ไม่เจอกันไม่กี่วัน เธอดูซูบลงไปถนัดตา ร่างกายผ่ายผอม คอยาวเหมือนยีราฟ แค่นั่งอยู่เฉยๆ ก็เหมือนกับว่าสายลมจะพัดเธอปลิวไปได้
ยิ่งมองเธอที่ดูเศร้าหมองแบบนี้ เขาก็ปวดใจอดจนขมวดคิ้วไม่ได้ ทำไมเธอถึงไม่ดูแลตัวเองให้ดีๆ ชอบทำให้เขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย...
ระหว่างที่เขายุ่งวุ่นวายทั้งงานที่บริษัทและจัดเตรียมงานหมั้นสมบูรณ์แบบให้เสร็จทันตามกำหนด ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เธอควรจะแบ่งเบาภาระของเขาสักนิด แค่กินข้าวให้ครบสามมื้อเขาก็จะดีใจมากแล้ว
แต่นี่อะไร... น่าโมโหชะมัด!
ถ้าเขาไม่คอยหมั่นโทร. เช็คกับรัมภาอยู่ตลอดละก็ คงไม่รู้หรอกว่าลัลล์นลินทำร้ายตัวเองแบบนี้
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจหนักๆ ก่อนที่ปากบางเฉียบจะขยับเอ่ยถาม
“ได้ข่าวว่าเธอไม่ยอมออกจากห้องเลย”
ลัลล์นลินแปลกใจ เขาไม่สนใจเธอไม่ใช่หรือ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอไม่ออกจากห้อง
“อืม”
“แล้วทำไมไม่กินข้าว”
“ไม่หิว”
เจษณะยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดแน่นขึ้น เธอตอบส่งๆ แบบขอไปที เขาถามคำ เธอตอบคำ ทำเหมือนไม่อยากจะเสวนากับเขา ความเป็นห่วงปะปนกับความขุ่นเคืองทำให้เขาก้าวพรวดขึ้นมาบนเตียง มือคว้าปลายคางเชยหน้าให้ลัลล์นลินสบตาเขา กระซิบถามเสียงเย็น ใบหน้าหล่อคมเข้มลอยเด่นห่างจากเธอแค่ไม่กี่เซ็น
“เดี๋ยวนี้ไม่อยากพูดกับฉันแล้วรึไง”
เธอนิ่วหน้า รู้สึกเจ็บแปลบตรงที่เขาลงแรงบีบ แต่ก็กัดฟันตอบ
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด”
“เมื่อก่อนเธอพูดเก่งจะตาย ฉันจำได้ว่าเธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้ฉัน ตอนนี้ทำไมถึงไม่อยากพูดแล้วล่ะ ฉันไม่อยู่เธอก็ไม่คิดจะสนใจ ไม่มาหา เธอไม่คิดจะโทร. ถามฉันบ้างเลยรึไง”
ลัลล์นลินมองเขาแล้วก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้
นั่นสิ...ที่ผ่านมาเจษณะควบคุมและบงการชีวิตเธอทุกอย่าง โดยที่เธอไม่มีสิทธิ์ต่อต้านเลย เขาสั่งให้เธอทำอะไร เธอก็ต้องทำ สั่งให้หันซ้าย เธอก็ห้ามหันขวา
ทุกวันเธอจะได้ยินน้ำเสียงทรงอำนาจสั่งการโดยตรงหรือโทร. เข้าเครื่องเธอ หรือไม่ก็โทร. ฝากให้ป้ารัมภาหรือคุณลุงอเนกมาบอกเธอ
เธอไม่เคยมีอิสระในชีวิตเลยสักครั้ง...
เธอจึงดื้อเงียบด้วยการไม่ยอมเซฟเบอร์โทรศัพท์ของเขาในเครื่อง ต่อให้จำได้ขึ้นใจก็เถอะ เธอรู้อยู่หรอกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ก็ถือเป็นความสะใจเล็กๆ ของเธอที่ได้เอาคืนเขาบ้าง
ตอนนี้ถ้าเขาอยากรู้ เธอก็ไม่กลัวที่จะบอกเขาตามตรง
“ฉันไม่มีเบอร์คุณ”