ต้องแต่งงาน
…ภาพตัด
คำแรกที่ฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาวทันทีที่ฟื้นขึ้นมา มือบางคำสะเปะสะปะไปบริเวณข้างเตียงที่มีโต๊ะเล็กๆ ตั้งอยู่ หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดูเวลา แต่แสงที่สว่างโร่ขึ้นมาทำให้จิราวดีต้องหลับตาลง
ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ หรี่ขึ้นมามองอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองแล้ว หญิงสาวสะบัดศีรษะที่ยังคงมีอาการมึนงงเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินลากรองเท้าสลิปเปอร์ไปรูดผ้าม่านเปิดออกกว้าง ภายในห้องจึงสว่างโร่ขึ้นมาทันที
เมื่อคืนเธอจำแทบไม่ได้ว่าตอนอยู่ในงานปาร์ตี้เธอกับเพื่อนนั้นรั่วกันแค่ไหน รู้เพียงแค่ว่าเป็นปาร์ตี้ที่สนุกสุดๆ ไปเลย ที่บอกว่าสนุกสุดๆ ไม่ใช่เพราะงานดีหรือเพลงดีหรอก แต่เป็นเพราะมีเพื่อนที่รู้ใจอยู่ด้วยกันต่างหาก พออยู่กับเพื่อนแก๊งนี้อะไรๆ ก็เต็มที่ไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็น
การดื่ม การเต้น การมั่ว รวมทั้งการอ่อย!
แน่นอนว่าเมื่อคืนนี้เธอกับเพื่อนอ่อยกันจนได้เพื่อนของเจ้าบ่าวเข้ามาร่วมดื่มด้วย แต่เธอเลือกที่จะไม่ไปต่อและได้บอกกับผู้ชายที่มายืนข้างเธอเอาไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งเธอมีคนขับรถที่บ้านไปรอรับกลับด้วย ถ้าเขาคิดจะทำอะไรเธอมากกว่าการดื่มและเต้นด้วย มันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ตามมา
ซึ่งผู้ชายคนนั้น…ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะชื่อคุณภีม เขาก็เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการดื่มและเต้นด้วยกันเลย อ้อ! มีโอบ มีกอดนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น
จิราวดีมองออกไปยังนอกหน้าต่างอยู่สักพัก พลางคิดไปด้วยว่า…ทำไมแดดเมืองไทยถึงได้แรงขนาดนี้ แล้วแบบนี้เธอจะกล้าออกไปใช้ชีวิตข้างนอกไหมเนี่ย แค่ยืนมองจากหน้าต่างผิวก็แทบจะไหม้ได้อยู่แล้ว เฮ้อ!
เสียงเคาะประตูห้องทำให้จิราวดีละสายตาจากแสงแดดตรงหน้า แล้วหันไปมองทางประตู
"ฟ้าเองค่ะ"
"อืม เข้ามาเลย"
เมื่อได้ยินเสียงเจ้าของห้องอนุญาต ฟ้าลดาเด็กรับใช้ในบ้านก็เปิดประตูเข้ามาทันที
"คุณท่านให้มาดูว่าคุณแจนตื่นหรือยัง คุณท่านเป็นห่วงน่ะค่ะ เพราะไม่เห็นคุณแจนลงไปข้างล่างเลย"
"อืม บอกพ่อไปว่าฉันตื่นแล้ว ไม่ต้องห่วง แค่แฮงก์นิดๆ"
"ค่ะ แล้วคุณท่านก็ให้ถามต่อว่าคุณแจนจะทานข้าวเที่ยงพร้อมท่านไหมคะ" ฟ้าลดาถามต่อตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
"หืม? แต่นี่มันบ่ายสองแล้วนะ พ่อยังไม่ทานข้าวเที่ยงอีกเหรอ" หญิงสาวถามด้วยความสงสัย เพราะบิดาของเธอต้องทานข้าวให้ตรงเวลา จะได้ทานยา เนื่องจากสุขภาพท่านไม่ค่อยดีเท่าไหร่
"เอ่อ….ใช่ค่ะ คุณท่านบอกจะรอทานพร้อมคุณแจน" เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวคิ้วขมวด ฟ้าลดาจึงเอ่ยต่อ "คุณท่านมีเรื่องจะคุยกับ
คุณแจนค่ะ ท่านก็เลยรอ"
ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ทว่าสุดท้ายหญิงสาวก็ยอม
พยักหน้าไป "งั้นไปตั้งโต๊ะเลย บอกคุณพ่อว่าอีกสิบนาทีเดี๋ยวลงไป"
"ได้ค่ะ"
หลังจากฟ้าลดาออกจากห้องไป จิราวดีก็หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ยืนมองตัวเองกระจกก่อนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่อย่างหนักใจ ด้วยเพราะรู้ว่าเรื่องที่บิดาต้องการจะคุยด้วยคือเรื่องอะไร…คงไม่พ้นเรื่องการรับตำแหน่ง ถึงเวลาแล้วสินะ
ทว่ามันกลับไม่ได้มีแค่เรื่องการรับตำแหน่งอย่างที่เธอคิด…
"คุณพ่อว่ายังไงนะคะ!?" จิราวดีโวยวายขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่บิดาพูด นี่มันบ้าไปแล้ว! เรื่องนี้มันนอกเหนือจากเรื่องที่เคยตกลงกันไว้นี่
"ลูกต้องแต่งงาน"
"ไม่ค่ะ ยังไงแจนก็ไม่แต่งเด็ดขาด" เธอตอบบิดากลับไปทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะเรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงระหว่างเธอกับตรีภพบิดาของเธอ ก่อนที่เธอจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ตรีภพกับจิราวดีได้ตกลงกันว่า หากจิราวดีเรียนจบจะต้องกลับมารับตำแหน่งผู้อำนวยการเพื่อบริหารโรงพยาบาลต่อจากบิดาทันที เนื่องจากสุขภาพของตรีภพไม่ค่อยแข็งแรง มีโรคประจำตัว อีกทั้งยังเดินเหินไม่ค่อยสะดวก ไปไหนมาไหนก็ต้องใช้รถเข็นเป็นตัวช่วย
ด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำให้ตรีภพถูกมองว่าเป็นผู้บริหารที่อ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน และมักจะมีผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารบางคนจ้องจะใช้จุดอ่อนจุดนี้ของตรีภพโค่นล้มเขาลงมาจากตำแหน่งผู้อำนวยการเพื่อหวังจะขึ้นแทน
แต่ที่ผ่านมาตรีภพก็พยายามรักษาตำแหน่งไว้อย่างสุดชีวิตเช่นกัน เพราะเขาจะไม่ยอมให้ตำแหน่งนี้หลุดไปเป็นของคนอื่นเด็ดขาด นอกจากจิราวดีลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา
"ที่เราตกลงกันไว้ไม่มีเรื่องแต่งงานนี่คะคุณพ่อ" จิราวดีเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ย้ำถึงข้อตกลงที่เคยตกลงกันเอาไว้ อันที่จริงตรีภพก็ไม่ได้อยากลงจากตำแหน่งเร็วขนาดนี้หรอก เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะทำงานไปจนถึงอายุหกสิบถึงหกสิบห้าปี แต่ก็ดันมามีปัญหาเรื่องสุขภาพเสียก่อน แพลนชีวิตที่วางเอาไว้จึงต้องเปลี่ยนไปทุกอย่าง
"อืม พ่อจำได้" ตรีภพพยักหน้าบอกลูกสาวว่าเขาไม่ได้ลืมข้อตกลง แต่มันมีเหตุบางประการที่ทำให้จิราวดีต้องแต่งงาน "แต่ที่ลูกต้องแต่งงานก็เพราะว่าการแต่งงานจะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้นและคนในโรงพยาบาลได้ เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม"
"เพราะแจนยังใหม่ใช่ไหมคะ" จิราวดีเป็นคนหัวไว ไม่ใช่คนที่จะเข้าใจอะไรได้ยาก เพียงแค่ตรีภพพูดคำว่าการแต่งงานจะสร้างความเชื่อมั่นได้ เธอก็พอจะเข้าใจเหตุผลของบิดาแล้ว
"ใช่ ลูกยังใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์การทำงาน ถ้าพ่อลงจากตำแหน่งแล้วให้ลูกขึ้นแทน คนพวกนั้นต้องหาทางเอาลูกลงจนได้" ตรีภพมองหน้าลูกสาวด้วยแววตาจริงจัง "ตอนนี้คนที่อยู่ฝั่งเรายังมีเยอะอยู่
ก็จริง แต่ถ้าวันไหนคนพวกนั้นแปรพักตร์ขึ้นมาล่ะ และถ้าถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ เราก็จะมีแต่เสียกับเสีย"
ตรีภพรักโรงพยาบาลนี้มาก เพราะเป็นโรงพยาบาลที่บิดาของตรีภพสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก กว่าจะกลายมาเป็นโรงพยาบาลใหญ่ระดับประเทศและมีสาขาอยู่ทุกภูมิภาคได้อย่างทุกวันนี้ก็ผ่านอะไรมามากมาย ตัวตรีภพเองก็ได้ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาด้วยเช่นกัน
อีกทั้งก่อนที่บิดาจะจากไป ก็ได้สั่งเสียและฝากฝังเอาไว้อย่างหนักแน่นว่าให้ดูแลโรงพยาบาลแห่งนี้ให้ดี อย่าให้ตกไปเป็นของคนอื่น เพราะเป็นสมบัติของครอบครัวเรา
จิราวดีนิ่งและคิดไปสักพัก เหตุผลของบิดาเธอก็ฟังขึ้นอยู่หรอก แต่ก็อดขัดใจไม่ได้ตรงที่เธอต้องไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้นี่แหละ และเหมือนตรีภพจะรู้ว่าภายใต้สีหน้าบึ้งตึงของลูกสาวนั้นคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นมา "ไม่ต้องกังวลไปหรอก คนคนนี้พ่อรับประกันว่าเป็นคนดี ไว้ใจได้ แล้วลูกก็รู้จักเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน"
ได้ยินแบบนี้จิราวดีก็ยิ่งคิ้วขมวด แต่ยังไม่ได้ถามอะไรกลับไปให้หายข้องใจ ตรีภพก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
"เดี๋ยวเย็นนี้ลูกก็ได้เจอพี่เขา บ้านนั้นเขาจะมาทานข้าวที่บ้านเรา" ตรีภพพูดยิ้มๆ แล้วหันไปหาฟ้าลดาที่ยืนอยู่แถวนั้น "ฟ้า พาลุงไปพักหน่อย แล้วบอกไปยายแช่มด้วยนะว่าเย็นนี้ให้โชว์ฝีมือการทำอาหารแบบสุดฝีมือได้เลย"
"ได้ค่ะ" ฟ้าลดายิ้มรับคำสั่งเจ้านายขำๆ ก่อนจะเข้ามาเข็นรถเข็นของตรีภพพาไปส่งในห้องนอนตามคำสั่ง ทิ้งให้จิราวดีนั่งอยู่ในห้องอาหารเพียงคนเดียว
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!
เรื่องการแต่งงานของกานต์พิชชาว่าช็อกแล้ว พอมาเจอกับตัวเองยิ่งช็อกกว่า เพราะกานต์พิชชายังได้ตัดสินใจเองว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง แต่เธอนี่สิ เหมือนมัดมือชกกันชัดๆ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะมีเรื่องของความมั่นคงของโรงพยาบาลเข้ามาเกี่ยว
หากถามว่าเธอมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากแค่ไหน
ก็ตอบได้เลยว่ามั่นใจมาก เธอสามารถบริหารโรงพยาบาลได้โดยไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับใครเลย แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าเธอจะมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหน ก็ไม่ได้แปลว่าบอร์ดบริหารจะมั่นใจในตัวเธอเหมือนที่เธอมั่นใจในความสามารถของตัวเอง อีกทั้งยังมีพวกที่คอยเสี้ยม คอยเสียบตำแหน่งนี้ จึงไม่มีเวลาให้เธอได้พิสูจน์ตัวเอง
เพราะฉะนั้นการแต่งงานกับคนที่มีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว
จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เธอเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารได้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ…คนคนนั้นคือใคร?