21.05น.
ครืดๆ ครืดๆ
สายเข้า ผู้หญิงไร้หัวใจ
“ฮัลโหลชิล” นิ้วเรียวเลื่อนปุ่มกดรับสายชิลีทันทีที่เธอโทรเข้ามา เพราะมือของฉันถือโทรศัพท์เอาไว้อยู่ตลอดนั่นเอง
(ถึงไหนแล้วยะ นี่เลทไปสิบห้านาทีแล้วนะคะ)
“ถึงแล้ว ออกมารับด้วย”
(เคค่า)
ติ๊ด!
“จอดตรงนี้ค่ะพี่”เสียงใสเอ่ยบอกคนขับแท็กซี่ฉันเบือนสายตามองรูปเพนท์เฮ้าส์ที่ชิลีส่งมาให้ก่อนหน้านี้สลับกับเพ้นท์เฮ้าส์ของจริงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ซึ่งรถแท็กซี่คันที่ฉันใช้บริการจอดอยู่ด้านหน้าพอดิบพอดี ฉันจึงรีบหยิบเงินในกระเป๋าสะพายจำนวนที่ไม่ขาดไม่เกินยื่นให้คนขับแท็กซี่
“ขอบคุณครับ”
ร่างเล็กในชุดเกาะอกกางเกงขาสั้น ตวัดเรียวขาที่อยู่บนรองเท้าสูงเกือบห้านิ้วที่ทำให้ความสูงของฉันเพิ่มขึ้นเกือบ160เซนติเมตร ก้าวเดินเข้าไปในเพ้นท์เฮาส์ที่อยู่เบื้องหน้า
งานของฉันในสองชั่วโมงต่อจากนี้ก็คือ เอ็นเตอร์เทนแขกที่จ้างมา ฉันทำงานนี้มีตั้งแต่ตอนที่จะเข้าเรียนปีสี่ ตอนนั้นที่บ้านเกิดปัญหาครั้งใหญ่และมีภาระทางการเงินที่จะต้องใช้เงินอย่างหนัก ทำให้ฉันเลือกที่จะทำงานนี้
แต่เรทของฉันแค่เอ็นเตอร์เทนเฉยๆ นะ รับแค่ชงเหล้า นั่งคุย ทานข้าว โดยมีชิลีนี่แหละที่ช่วยหางานให้ฉัน เธอเองก็ทำงานนี้เช่นกัน
แต่สำหรับฉันหลังจากเรียนจบได้งานประจำทำเลยคิดว่าจะเลิกทำงานนี้ เพราะมันอันตรายและไม่มั่นคง และนี่เป็นงานสุดท้าย
“มาสายจนได้นะพริซ” คนตัวเล็กที่อยู่ในชุดเดรสเกาะอกสุดเซ็กซี่เอ่ยชื่อในวงการของฉันขึ้น ในขณะที่เธอเดินออกมารับฉันหน้าเพนท์เฮาส์
“ก็ว่าจะไม่รับแล้วไหม”
“โถ่ นี่ก็รับแล้วไหม” ซิลีหัวเราะร่วนกอดแขนฉันแน่นให้เดินเข้ามาภายในเพ้นท์เฮาส์พร้อมๆ กับเธอ
“ฮึ! ไหนบอกว่ามีแฟนแล้วจะไม่รับงานแล้วไง” ฉันถามออกไปในขณะที่เธอพาฉันเดินออกมาตรงโซนสระว่ายน้ำส่วนตัว ซึ่งมีผู้ชายนั่งคุยกันอยู่บนโซฟาริมสระว่ายน้ำสองคน ส่วนอีกคนนั่งอยู่ตรงเปลชายหาดไม่ไกลนัก
“จริงๆ แค่อยากชวนแกมาดื่ม เลยแกล้งให้งานแกไปงั้น”
“ไม่รู้ไม่ชี้ เสร็จงานแล้วโอนเงินเข้าให้ด้วย”
“จ้า ไม่ค่อยจะงกเลยเพื่อนฉัน” ชิลีหัวเราะคิกคักเพราะเธอรู้ดีว่าฉันหมายความตามนั้น “มาแล้วจ้าหนุ่มๆ คนนี้เพื่อนในวงการของชิลเอง” ชิลีผายมือมาทางฉันซึ่งนั่นทำให้สองหนุ่มที่กำลังคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าจริงจังหันมองมาทางฉันเป็นตาเดียว
“หวัดดีค่ะ พริซซี่ค่ะ” ฉันยิ้มกว้างให้ทั้งสองคน พร้อมกันแนะนำตัวด้วยชื่อในวงการ ซึ่งผู้ชายคนที่ชิลีเดินไปนั่งลงบนตักของเขาฉันของเดาว่าเขาคือ โจฮาน แฟนของเธอสินะ
“ครับ ผมโจฮาน แฟนของซิลี ส่วนคนนี้...”
“ลูอีสครับ รักสนุกแต่ไม่ผูกพันก็ผมนี่ล่ะครับ” ผู้ชายผมสีบลอนด์ที่กำลังยกแก้วไวน์ในมือขึ้นจิบ ยิ้มให้ฉันกว้างพลางแนะนำตัว
“เป็นการแนะนำตัวที่ตรงไปตรงมามากเลยนะคะ พริซซี่จะได้อยู่ห่างๆ” ฉันเอ่ยขึ้นขำๆ หย่อนสะโพกนั่งลงข้างๆ คนที่ชื่อลูอีสอย่างเป็นกันเอง แต่ก็เว้นระยะนั่งห่างจากเขาพอสมควร
“ฮ่าๆ ว่าแต่พริซซี่ดื่มอะไรจัดตามสบายเลยนะครับ แชมเปญ ไวน์ บรั่นดี หรือเบียร์ คิดซะว่ามาดื่มบ้านเพื่อน ไม่ต้องซีเรียสกับพวกเรามาก” ลูอีสร่ายยาวจากนั้นก็รินไวน์ที่อยู่ข้างๆ เขาลงแก้วแล้วก็ยื่นมันมาให้ฉัน
“โห นี่บ้านหรือโรงเหล้าคะเนี่ย”
“แค่ขำๆนะครับ ไม่อยากให้คุณเครียด”
“ขอบคุณค่ะ จริงๆ พริซกะจะไม่รับแล้วล่ะค่ะ แต่เห็นคนบางคนคะยั้นคะยอเลยมาให้”
“ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณนะ แต่ไม่รู้เคยเจอที่ไหน”
“งั้นเหรอคะ แต่ซิลีบอกว่าพวกคุณพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าๆ ไม่น่าจะเคยเจอกันนะ”
“อื้อ...”
“...” ฉันเหล่ตามองไปทางเสียงครางในลำคอเพียงนิด แต่ก็ต้องหันกลับไปทางลูอีสแทน เมื่อเพื่อนสาวของฉันกำลังจูบอย่างดูดดื่มกับแฟนหนุ่มของเธอ โดยที่ไม่แคร์สายตาฉันกับลูอีสแม้แต่น้อย โจฮานเองก็เหมือนกัน พวกเขาคงคิดว่าเป็นเรื่องปกติล่ะมั้ง
“เหมือนเรากำลังขัดจังหวะเขาสองคนนะคะ”
“ฮึ” ลูอีสส่ายหน้าน้อยๆ ไปทางโจฮานและซิลี “สักพักคงจบที่ห้องไหนสักห้อง”
“เป็นปกติคนมีแฟนป่ะวะ” เสียงโจฮานที่ถอนจูบออกจากซิลีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระเส่า เขากดจูบลงแก้มนวลของชิลีหนักๆเหมือนกำลังหยอกล้อแฟนสาว
“อย่าคิดมากนะพริซ อ้อ! ลืมบอกเธอเลยแต่อย่าเรียกว่างานนะ ช่วยไปชวนฮันเตอร์คุยให้หน่อยดิ นี่นั่งซึมมาห้าวันแล้วนะ”
นิ้วเรียวชี้ไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่เปลชายหาดไม่ไกลกันนัก จริงสิตั้งแต่ฉันเข้ามาที่นี่ก็ไม่เห็นเขาจะหันมามองเราเลยสักนิด ท่าทางเขาเหม่อลอยแปลกๆ ถ้าไม่ติดว่าเขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบเป็นระยะ ๆ ฉันคงคิดว่าเขาคือรูปปั้นนักรบชาวโรมันเหมือนที่ประดับอยู่มุมบ้านตรงนั้นไปแล้วนะ
“เขาเป็นอะไร” ฉันเอ่ยถามในขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ผู้ชายคนที่ชื่อว่าฮันเตอร์ ก่อนจะดึงสายตากลับมามองชิลีและลูอีส
“เมียหนี” ลูอีสตอบสั้นๆ สายตาของเขาทอดมองไปยังผู้ชายที่ชื่อฮันเตอร์เช่นเดียวกันกับฉัน
“หืม...”
“พวกฉันกลัวฮันเตอร์จะคิดสั้น เลยผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนเขาที่เพนท์เฮาส์นี่ และก็อย่างที่เห็น เขานั่งซึมอยู่อย่างนั้นมาห้าวันแล้ว”
ชิลีอธิบายยาวเหยียดด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ส่วนโจฮานนั้นโอบแฟนสาวเอาไว้แน่น ราวกับว่ากลัวซิลีจะหายไปยังไงยังงั้น
“ฉันต้องทำยังไงอ่ะ”
“คุณรับเอ็นเรทไหน” ลูอีสถามขึ้นราวกับสิ่งที่เขาถามเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปเรียกใช้บริการ
“เอ็นตัวเดียว ชงเหล้า นั่งคุย ไม่ล้วง ไม่ขึ้นเตียง ไม่ขาย”
“ฮ่าๆ งั้นเข้าไปชวนมันคุยที ตอนนี้มันคงเบื่อพวกผมมากแล้ว วันนี้ถึงกับย้ายไปนั่งซะไกลเลย” ลูอีสเกาหลังคอเขินๆ ก่อนจะยกไวน์ในแก้วขึ้นจิบ
ฉันพยักหน้าเป็นการรับทราบให้ทั้งสองคน ตัดสินใจเดินถือแก้วไวน์เข้าไปหาฮันเตอร์ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขากำลังจะลุกออกจากเก้าอี้พอดี ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อยดวงตาบวมช้ำของฮันเตอร์สบตากับฉันเพียงนิด จากนั้นก็เสมองไปทางอื่นแทน ฉันมาทำให้เขาเซ็งมากขึ้นหรือเปล่า
“หวัดดี ขอฉันนั่งเป็นเพื่อนคุณนะ” ฉันบอกออกไปแต่ไม่รอให้เขาอนุญาต กลับนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เขาเลย
“เพื่อนผมส่งคุณมางั้นเหรอ” เขาปรายตามองไปที่กลุ่มเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นกับสาวสวยอย่างฉันเลยแม้แต่น้อย
“ใช่ค่ะ พวกเขาคงห่วงคนอกหักเช่นคุณ”
“นี่พวกมันคงเอาเรื่องของผมไปเล่าให้คุณฟังสินะ” ฮันเตอร์เลื่อนสายตามามองฉันอย่างไม่พอใจ วูบหนึ่งฉันเห็นแววตาแสดงออกถึงความเจ็บปวด ก่อนจะปรับเป็นสายตาแข็งกร้าวราวกับสัตว์ร้ายแทน
“เปล่า เขาแค่ให้ฉันมาคุยเป็นเพื่อนคุณ...ก็เท่านั้น”
“แต่ผมไม่ต้องการ”
“ฉันรู้ ... เวลานี้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณคงจะเป็นความเงียบสินะ” รอยยิ้มบางๆ จากใบหน้าหวานส่งไปทางเขาที่เบือนสายตามามองเพียงนิด
ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรรักษามันให้ดีขึ้นได้หรอก เอาเข้าจริงแม้แต่เวลาก็ไม่ช่วยอะไร
เคร้ง!
“หืม...”
“ไหนๆ คุณก็มานั่งนี่แล้ว งั้นก็ดื่มเป็นเพื่อนผมเลยก็แล้วกัน” เขายื่นแก้วไวน์ของตัวเองเข้ามาชนแก้วกับฉัน จากนั้นก็นั่งดื่มไวน์เงียบๆ ต่อโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“พวกคุณไม่ได้คุยกันเหรอฉันหมายถึงความสัมพันธ์มันเป็นแบบไหนทำไมอยู่ดีๆ กลายเป็นแบบนี้”
ฉันเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เมื่อไวน์ในมือหมดไปเกือบจะห้าแก้วได้มั้ง ซึ่งเหมือนครั้งนี้จะได้ผล ฮันเตอร์หันกลับมาทางฉันก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ไม่คุย หายไปเลย”
คำตอบของฮันเตอร์ทำให้ฉันชะงักไปเล็กน้อย วูบหนึ่งในสมองทำให้หวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมาเกือบสองปีของตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งฉันก็เคยทำแบบผู้หญิงคนนั้นเมือนกัน
ทั้งๆ ที่ฉันไม่อยากทำมันแม้แต่นิด แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ฉันตัดสินใจทำแบบนั้น
“เธอคงมีเหตุผล”
“จะมีกี่เหตุผลวะ ที่คนรักกันจะต้องจากกันไปไม่ร่ำลา!!”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรืออารมณ์ครุกรุ่นของคนข้างๆ ถึงทำให้เขาขึ้นเสียงตวาดลั่น
ฮันเตอร์ยกแอลกอฮอล์ในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะปาแก้วไวน์ลงพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจาย
เพล้ง!!!
“โอ๊ย!!” ฉันมองหลังเท้าที่เริ่มรู้สึกเจ็บแสบด้วยความตกใจ เมื่อเศษแก้วที่ตกกระทืบพื้นกระเด็นเข้ามาโดนหลังเท้าของฉันอย่างห้ามไม่ได้ ฮันเตอร์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาดันตัวลุกขึ้นยืนมองฉันเลิ่กลั่ก
“เธอ...”
“เกิดอะไรขึ้นพริซ!!” จากหตุการณ์เมื่อสักครู่ทำให้เพื่อนคนอื่นที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักรีบวิ่งเข้ามาหาฉันกับฮันเตอร์ด้วยความแตกตื่น
“ไอ้ฮันเตอร์ มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”
“กู...” ฮันเตอร์ละล่ำละลักหมายจะเข้ามาดูแผลบนหลังเท้าของฉัน แต่กลับถูกลูอีสที่ปรี่เข้ามาดูแผลฉันพอดีผลักออกซะก่อน
“เจ็บตรงไหนบ้างคุณ”
“ใจเย็น แค่ข่วนๆ น่ะลูอีส”
“พริซ เท้าแกเลือดออกอ่ะ” ซิลีตกใจไม่น้อย เธอรีบถอดรองเท้าส้นสูงห้านิ้วของฉันออกพร้อมหยิบทิชชูที่อยู่บนโต๊ะเช็ดเลือดที่ซึมอยู่บนหลังเท้าออกให้ฉัน
“มะ...ไม่เป็นไร แค่เศษเล็กๆ เองน่า”
“แผลไม่เยอะแต่ก็ไว้ใจไม่ได้ ฉันไปเอาอุปกรณ์ทำแผลนะ รอเดี๋ยว”
“ไม่เป็นไรชิลี” ฉันคว้าแขนของชิลีเอาไว้แต่กลับไม่ทัน เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทางด้านในเพนท์เฮาส์เสียก่อน
“พาเธอออกไป แล้วอย่ามายุ่งกับกู” ฮันเตอร์เสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด เขาชี้นิ้วมาทางฉันพร้อมกับออกปากไล่
“กูอุตส่าห์หวังดีหาเพื่อนมาคุยด้วย”
“ใจเย็นเว้ยลูอีส ไอ้เตอร์มันอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้”
โจฮาน รีบดึงตัวลูอีสเอาไว้ เมื่อเขาทำท่าเหมือนจะเข้าไปผลักอกของฮันเตอร์
“กูไม่ได้ขอ ออกไป!” ฮันเตอร์ตวาดไล่อีกครั้ง เขากำลังเดินกลับไปนั่งลงที่เดิมพลางรินไวน์ลงแก้วใบใหม่แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ทำเอาทุกคนตกใจกับท่าทีของเขาอยู่ไม่น้อย
“อย่าทะเลาะกันเลย ฉันคงเซ้าซี้ฮันเตอร์มากเกินไป ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
ฉันพยักหน้าให้กับลูอีสเพื่อเป็นการแสดงออกว่าไม่เป็นไร ในขณะที่เขากำลังมองไปทางฮันเตอร์ที่เอาแต่ดื่มไวน์ไม่ลืมหูลืมตา
“ห้องน้ำเดินออกไปอยู่ฝั่งซ้ายมือ เธอลุกไหวไหม”
“สบายมาก"
"ระวัง!"
"โอ๊ย! โทษทีมันมึนๆ ไปหน่อย”
ร่างบางที่กำลังดันตัวลุกขึ้นทรงตัวเซเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่าเป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ไม่ค่อยได้ดื่มหรือเปล่า จึงทำให้ฉันเป็นเช่นนี้ โชคดีที่ลูอีสพยุงฉันเอาไว้ได้ทัน
“เฮ้!คาร์ต ลมอะไรหอบนายมานี่”