ตอนที่ 6 ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ฐาปกรณ์กอดอกยืนมองปุณณดาที่เดินขากะเผลกลงจากรถ มือหนึ่งยังถือแฟ้มเอกสารหอบมันติดมือกลับมาด้วย สีหน้าเหนื่อยล้าโผล่กลับเข้ามาในห้อง ก่อนคิ้วทั้งสองจะขมวดเข้าหากัน เมื่อเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างในห้องนอนนั้นไม่เหมือนเดิม
“เห็นแม่บ้านบอกว่าคุณไม่ยอมนอนบนเตียงหลังนั้น ทำไมรังเกียจหรือ ที่ผมพาอรสิมาขึ้นมานอน ใช้มันก่อนคุณ”
กลางห้องนั้นเตียงนอนหลังใหม่ถูกเอามาวางไว้แทนเตียงหลังเดิม ปุณณดาแสยะยิ้มเวทนาแล้วเดินผ่านเข้าไปวางกระเป๋าถือและแฟ้มงบดุลการเงินลงไปบนโต๊ะ
“ทำไม รังเกียจหรือ”
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้รังเกียจเตียงนอนราคาหลักแสนของคุณ แต่ฉันไม่อยากล้มตัวลงไปนอนทับที่ใคร เผื่อว่าคุณอรเธอกลับมานอนซ้ำ เดี๋ยวเธอจะไม่คุ้นกลิ่น”
“ผมย้ายเตียงหลังนั้นไปไว้ที่ห้องนอนของผมแล้ว ส่วนห้องนี้ ถ้าคุณอยากอยู่...ก็อยู่ไป”
“อ๋อ...จริงสินะ มันเป็นเตียงส่งตัว ระหว่างคุณกับอรสิมานี่นา ในเมื่อคุณกับเธอรักกันมากขนาดนี้ ฉันยิ่งไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ของพวกคุณ”
“อย่าบอกนะว่าคุณหึง”
“หึง...ฉันจะหึงพวกคุณทำไม มีอะไรให้ฉันต้องหึง เราสองคน นอกจากพินัยกรรมของคุณฐาพลกับทะเบียนสมรส เราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“ดูเหมือนสิ่งที่คุณต้องการ มีเพียงอำนาจในบริษัทของผมใช่หรือเปล่า”
“ค่ะ ฉันต้องการแค่นั้น”
“ฮึ ฮึ ดี...”
“คุณย้ายเตียง ย้ายของออกไปอย่างนี้ หมายความว่าคุณจะไม่กลับมานอนห้องนี้อีก กลัวยัยอรเข้าใจผิดหรือคะ”
“อรเขาไม่ใช่คนเรื่องมาก คิดเล็ก คิดน้อยขนาดนั้น”
“เขาไม่คิดเล็ก คิดน้อย หรือว่าไม่มีสมองให้คิดกันแน่”
“ปุณ!”
“ฉันเข้าใจค่ะ เป็นใครก็คงคิดมากคนรักของตัวเองต้องไปแต่งงานกับคนอื่น เป็นธรรมดาที่จะหวาดระแวง โชคดีที่เป็นเรา...” มุมปากกดลึกจนเกิดเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าช้อนเชยมองขึ้นไปยังผนังห้องที่เวลานี้มีรูปถ่ายพรีเวดดิงระหว่างเขาและเธอบานใหญ่แขวนติดเอาไว้
“ผมเกลียดคุณ...”
“ฮึ ฉันรู้ค่ะ ฉันรู้ว่าคุณ...เกลียดฉันมาก เราอย่ามัวพูดถึงเรื่องของความรู้สึกเกลียดชัง รักใคร่กันอีกเลยนะคะ มันไร้สาระ ดึกขนาดนี้แล้ว คุณมายืนรอฉันอย่างนี้ ไม่ทราบว่าต้องการอะไร”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ปุณณดา ที่เรื่องความรักกลายเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคุณ หรือว่าตั้งแต่มีนายทุนรูปหล่อ พ่อรวยระดับมหาเศรษฐี ส่งเสียมอบทุนให้คุณไปเรียนต่อไกลถึงต่างประเทศ”
“ถ้าคุณอยากฟังเพื่อตอกย้ำความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อฉัน....ใช่ค่ะ เรื่องความรักของหนุ่มสาว มันไม่มีค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับฉัน นับตั้งแต่วันนั้น...จนถึงวันนี้ ถ้าคุณไม่มีเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องของอดีต อย่างนั้นฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ พอดีว่าฉันมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ” แฟ้มเอกสารมีดำในมือถูกยกขึ้นมาโบกไปมา จากนั้นปุณณดาเดินทิ้งสามีให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ กระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูปังใหญ่ เธอจึงถอนลมหายใจออกมาจากช่องอกได้
“ฮึ เข้มแข็งไว้ปุณณดา” ขอบตาเรื่อแดงก่ำพยายามเก็บกั้นหยดน้ำใสเอาไว้ โชคดีที่เธอก้าวเข้าไปยืนอยู่ภายใต้ฝักบัวใหญ่ทันเวลา ก่อนที่หยดน้ำตาแรกมันจะรินรดพ้นขอบตาออกมาได้
ภาพของพนักงานเดินลุกลี้ลุกลน หอบแฟ้มเอกสารเดินกันจนขาขวิด เป็นความวุ่นวายโกลาหลที่ไม่ค่อยชินตานัก ฐาปกรณ์กวาดสายตามองปราดเข้าไปภายในห้องทำงานของรองประธานกรรมการเป็นอันดับแรก เห็นผู้จัดการหลายฝ่ายยืนถือเอกสารและไอแพดรับคำสั่งจากปุณณดาหน้าเครียด เสียงเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพรินต์ทำงานกันดังสลับครืดคราดลั่นไปทั้งชั้นผู้บริหาร
“พวกนั้นเขาวุ่นวายอะไรกัน” ฐาปกรณ์เอ่ยถามเลขานุการส่วนตัวทันที เมื่อตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน บนโต๊ะทำงานนั้นว่างเปล่า ไม่มีเอกสารอะไรเลย
“คุณปุณ เรียกประชุมผู้จัดการทุกฝ่าย เพื่อแจกแจงนโยบายกระตุ้นยอดขาย และปรับกลยุทธ์เชิงรุกทางการตลาด สำหรับไตรมาสสองนี้ครับ”
“แล้วทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
“ก็ช่วงนี้คุณฐาไม่ค่อยว่างนี่ครับ เอกสารมันค่อนข้างด่วนคุณปุณก็เลยเข้ามาลงนามแทน”
เพราะถูกอรสิมาร้องขอให้ไปทำธุระเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยอยู่เสมอ ทำให้ช่วงเวลาที่เขาจะนั่งหลังโต๊ะทำงานนี้ลดน้อยลงมาก อีกทั้งในหนังสือแต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการ ยังระบุชัดเอาไว้ว่าหากเขาไม่อยู่ รองกรรมการอย่างปุณณดามีสิทธิ์ที่จะลงนามแทนได้เพราะจำนวนหุ้นที่ปุณณดาถือน้อยกว่าเขาเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นเอง
“ต่อไปไม่ต้อง ฉันจะดูเอกสารทุกอย่างเอง ไปเอางานของฉันกลับมาให้หมด”
รอเพียงไม่นานเอกสารขนาดสามคนหอบถูกพนักงานช่วยกันถือมาวางเรียงไว้จนเต็มโต๊ะฐาปกรณ์ สายตาสนเท่ห์กวาดมองเอกสารทุกอย่างด้วยความสงสัย เขาทำงานนั่งแท่นเป็นผู้บริหารเต็มตัวมาสามปี แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่งานเยอะมากมายขนาดนี้มาก่อน
“นี่มันอะไรกัน ทำไมเอกสารมันถึงได้มากมายขนาดนี้”
“นี่เอกสารค้างตั้งแต่เมื่อวานด้วยครับ”
“หมายความว่านี่เป็นเอกสารสำหรับรออนุมัติสองวันหรือ มันอะไรนักหนา”
“คุณปุณปรับโครงสร้างใหม่ลดระดับการเบิกจ่ายงบจากเดิมที่ห้าแสนบาทต้องส่งขึ้นมาให้ฝ่ายบริหารตรวจสอบก่อน ตอนนี้คุณปุณปรับให้ยอดมันเหลือเพียงแค่สองแสนครับ ใครจะเบิกงบส่วนไหนที่เกินจากนี้ต้องให้ผู้บริหารสามฝ่ายพิจารณา ส่วนถ้าหากงบเกินห้าแสนบาทต้องผ่านคณะกรรมการสองท่านที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องผ่านการอนุมัติจากคุณปุณด้วย เอกสารมันก็เลยเยอะแบบนี้แหละครับ”
“นี่เขาปรับโครงสร้างไว้อย่างนี้หรือ”
ก่อนหน้านั้นเพราะมีคณะกรรมการในที่ประชุมเสนอร่างให้มีการปรับเรื่องลำดับการเสนองบดุลเพื่อลดขั้นตอนของการขออนุมัติอันวุ่นวาย ความเห็นส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ฐาปกรณ์จึงขัดไม่ได้ แต่ปุณณดากลับดึงเอาโครงสร้างการอนุมัติงบประมาณเก่าที่เขาคิดว่ามีความรอบคอบกว่ากลับมาใช้โดยที่เธอกับเขาไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กันมาก่อนเลยสักนิด
“ครับ แต่ช่วงสามสัปดาห์ที่คุณปุณปรับมาใช้โครงสร้างนี้ ยอดเบิกจ่ายภายในบริษัท ลดลงสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ แล้วคุณปุณยังไล่บี้ เรียกตรวจสอบเอกสารการเบิกจ่ายทุกแผนก ย้อนหลังไปอีกตั้งสามปี ทุกคนเลยวิ่งกันขาขวิดอยู่ข้างนอกนั่น”
“เธอกำลังคิดจะทำอะไรแน่ แล้วเรื่องที่ฉันให้.....”
“ฐาขา พักเที่ยงแล้วค่ะ อรมารับคุณไปทานมื้อเที่ยงค่ะ ไปค่ะลุกเร็ว อรจองโต๊ะเอาไว้แล้ว”
พนักงานคนหนึ่งที่กำลังเดินหอบเอกสารตั้งใหม่เข้ามาในห้องถึงกับยืนชะงัก สายตาล่อกแล่กลังเล ว่าควรเอาเอกสารชุดนี้เข้ามาหรือควรถือมันกลับไปยังห้องของรองประธานกรรมการกันแน่
“เอกสารด่วนหรือเปล่า”
“ด่วนทุกฉบับค่ะ ขนกลับไปที่ห้องฉัน” ปุณณดาเดินแทรกเข้ามา พร้อมกับชี้นิ้วสั่งให้เลขาฯ ผู้ช่วยเลขาฯ และพนักงานอีกคนช่วยกันขนเอกสารที่เพิ่งวางลงไปบนโต๊ะกลับไปยังห้องตัวเอง
“เดี๋ยว ฉันบอกหรือว่าจะไม่เซ็นให้”
“ถึงคุณไม่บอก ดิฉันก็ทราบว่าเอกสารพวกนี้คุณตรวจทานและอนุมัติไม่ทันแน่ บ่ายนี้มีประชุมฝ่ายการตลาดตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสาม หลังจากนั้นบ่ายสามถึงห้าโมงเย็นฉันต้องประชุมเกี่ยวกับงบการเงินของบริษัทที่ขาดสภาพคล่องไปกับผ่านการเงิน บัญชี กว่าคุณจะทานข้าวกลับมาอย่างต่ำก็บ่ายสามโมงครึ่ง ซึ่งนั่นทำให้งานของฉันและทุกคนล่าช้า”
“นี่ปุณ เธออย่ามาทำอวดเก่งออกคำสั่งกับฐานะ ฐาเขาเป็นเจ้าของบริษัท เขาจะไปกินข้าวกลับมากี่โมงมันเป็นเรื่องของเรา ใครจะมัวแต่นั่งกินข้าวกล่องโง่ ๆ ราคาถูก ในห้องทำงานอย่างเธอล่ะ” อรสิมาเบะปากแสยะยิ้มน่ารังเกียจออกมา จากนั้นเดินไปสอดมือคล้องแขนกอดฐาปกรณ์ต่อหน้าทุกคน
“..? .....? .....? ..”
“ฉันยินดีนั่งกินข้าวกล่องในห้องทำงาน ดีกว่าไปนั่งเคี้ยวหญ้าในร้านอาหารหรู ๆ เอาละทุกคนช่วยกันขนเอกสารทั้งหมดนี่กลับไปที่ห้องทำงานของฉัน”