“คุณกุลโกรธหนูจริงๆ เหรอคะ”
“เปล่า ที่บอกว่าไม่ต้องก็คือให้เธอเลี้ยงมาม่าฉันก็พอ ฉันชอบกินมาม่าของเธอ”
“จริงนะคะ”
“อืม ไปเถอะ กลับบ้านกัน เดี๋ยวฝนตกฟ้าร้องขึ้นมา เสียเวลาฉันต้องมานั่งปลอบเด็กขี้แยอีก” กุลวุฒิทำท่าเบื่อหน่าย แต่เธอมั่นใจว่าเขาแค่แกล้งทำไปอย่างนั้นเอง ก่อนที่เขาจะเดินนำเธอออกไป ปล่อยให้เธอเดินตามหลังแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้กับแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ
ขณะที่พวกเขาเดินทางกลับบ้าน ปณิสราหันไปเจอกับสวนสนุกขนาดใหญ่ระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง กุลวุฒิสังเกตว่าเธอดูสนใจมาก มากกว่าแค่อยากมองเฉยๆ
“ชอบสวนสนุกเหรอ” คำถามของเขาเรียกสายตาของเธอให้หันกลับมามอง
“ค่ะ จำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อกับแม่พาหนูไปเที่ยวงานวัดแถวบ้าน ตอนนั้นก็มีชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่าอันนี้ เราสามคนนั่งอยู่บนชิงช้าด้วยกัน หนูรู้สึกตื่นเต้นมาก และก็กลัวความสูงมากด้วย หนูเลยหลับตานั่งตัวสั่น แม่เลยกอดหนูเอาไว้แน่น ส่วนพ่อก็เล่าเรื่องตลกให้ฟัง จนสุดท้ายหนูก็ลืมตาขึ้นแล้วหัวเราะในสิ่งที่พ่อเล่า จากนั้น...หนูก็ลืมไปเลยว่าอยู่สูงแค่ไหน พอเห็นบรรยากาศนี้แล้วก็เลยนึกไปถึงวันเก่าๆ น่ะค่ะ เพราะคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปอยู่บนชิงช้าสวรรค์แบบนั้นอีกแล้ว” เธอบอกพร้อมกับแววตาหม่นเศร้า
“แค่ชิงช้าสวรรค์เอง ทำไมจะไม่มีโอกาสล่ะ ราคาตั๋วขึ้นไปก็ไม่แพงสักหน่อยนี่” เขาถามอย่างสงสัย
“ก็พ่อไม่อยู่เล่าเรื่องตลกให้หนูฟังแล้ว แม่ก็ไม่อยู่กอดหนูอีก ถ้าต้องขึ้นไปบนนั้นคนเดียว...หนูคงไม่กล้าหรอกค่ะ”
เธอส่งยิ้มบางก่อนจะหันไปมองชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกไปเพราะได้สัญญาณไฟเขียว และเธอก็ได้แต่มองเจ้าชิงช้าสวรรค์นั้นผ่านทางกระจกมองข้างและมันก็มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เพราะพวกเขาขับห่างออกมาทุกทีจนกระทั่งมองไม่เห็นมันอีก ส่วนเขาก็ไม่คิดจะถามอะไรเธอต่อ จนกระทั่งพวกเขากลับมาถึงบ้าน
“เย็นนี้คุณกุลอยากกินอะไรคะ หนูจะได้บอกป้าสาย”
เธอหันมาถามเขาหลังจากที่ก้าวลงจากรถแล้ว
“บอกป้าสายว่าทำเมนูกุ้งอะไรก็ได้”
“คุณกุลชอบกินกุ้งเหรอคะ”
“ใช่ ทำไมล่ะ”
“เปล่าค่ะ หนูแค่ถามเฉยๆ จะได้จำไว้ว่าคุณชอบกินอะไร เผื่อคุณหิวตอนดึกจะได้ทำของที่คุณชอบให้กินไงคะ”
“อย่างต้มมาม่าใส่กุ้งน่ะเหรอ” เขาแกล้งเย้าเพราะจำได้ว่าวันนั้นเธอก็ทำให้เขากิน
“โธ่ กินอย่างอื่นนอกจากมาม่าก็ได้ค่ะ วันนั้นหนูคิดว่าคุณคงจะหิวมากเลยทำอะไรง่ายๆ ให้กินจะได้ไม่เสียเวลารอนาน”
“อ้อ นึกว่าทำเป็นแค่ต้มมาม่าซะอีก”
“อย่างอื่นหนูก็ทำได้ค่ะ แต่จะอร่อยถูกปากคุณรึเปล่าคงยังไม่กล้ารับประกัน เอาไว้หนูจะลองทำให้คุณกินดูนะคะ ถ้าป้าเค้าอนุญาต”
“เอาสิ ฉันก็อยากลองชิมอาหารฝีมือเธอดูเหมือนกัน”
“งั้นเย็นนี้หนูจะขอป้าลองทำเมนูนึงนะคะ”
“อะไรล่ะ”
“อืม...ยังไม่บอกค่ะ ให้คุณกุลลองเดาดูดีกว่าว่าฝีมือหนูน่าจะเป็นเมนูไหน”
“ฉันว่าน่าจะเดาง่ายนะ เพราะคงเป็นเมนูที่อร่อยน้อยที่สุดนั่นแหละ”
“แน่ะ อย่าเพิ่งสบประมาทกันสิคะ มันอาจจะเป็นเมนูที่อร่อยที่สุดเลยก็ได้นะคะ”
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว” เขาอมยิ้มให้แววตาซุกซนคู่นั้น คิดว่าหากไม่เกิดเรื่องร้ายกับเธอ เด็กคนนี้คงเป็นคนที่ร่าเริงสดใสไม่น้อยเลย
“แฮ่ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ จะพยายามทำสุดฝีมือเลย คุณกุลรอชิมนะคะ หนูจะรีบไปเตรียมของก่อน” บอกแค่นั้นเธอก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ทำอย่างกับว่าเขาอยากจะกินข้าวตอนนี้อย่างนั้นแหละ
กุลวุฒิส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเด็กซน ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่รีบร้อนนักจากนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องแล้วนอนพักสายตาสักหน่อยเพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแถมยังครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบายกระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้น ทำให้คนที่ตื่นง่ายปรือตาขึ้นมามอง
“มีอะไร”
“คุณกุลคะ อาหารเย็นเสร็จแล้วค่ะ เชิญที่โต๊ะอาหารนะคะ”
เสียงของสาวใช้คนหนึ่งที่ไม่น่าจะใช่ปณิสราดังอยู่หน้าห้อง
“อืม เดี๋ยวฉันลงไป” เขาตอบรับกลับไป
“ค่ะคุณกุล”
แล้วเสียงด้านนอกก็เงียบลง เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งแล้วนวดขมับตัวเองเบาๆ แต่เหมือนอาการปวดศีรษะจะยังไม่ดีขึ้น เขาจึงได้ลุกไปล้างหน้าล้างตาเผื่อจะทำให้สดชื่นขึ้นมาบ้าง
ที่ห้องอาหาร ร่างสูงก้าวเข้ามานั่งที่โต๊ะด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักจนป้าสายรู้สึกผิดสังเกต
“ไม่สบายเหรอคะคุณกุล หน้าตาไม่สดใสเลย”
“ครับป้า รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย”
“งั้นกินข้าวอิ่มแล้วก็กินยาด้วยนะคะ เดี๋ยวป้าจะหายาให้กิน”
“ขอบคุณครับ แล้ว...” ชายหนุ่มหันมองซ้ายขวาเหมือนจะมองหาใครบางคนที่ไม่ได้อยู่แถวนี้
“มีอะไรเหรอคะ”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร แล้วนี่ป้าทำอะไรให้ผมกินบ้างครับเนี่ย”
“ป้าทำห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อนกับผัดกะเพราเนื้อค่ะ ส่วนผัดบล็อกโคลี่กุ้งกับต้มจืดไข่น้ำฝีมือปีใหม่เค้า ตอนแรกป้าว่าจะทำต้มยำกุ้งอีกอย่าง แต่ปีใหม่เค้าว่าอยากให้คุณได้ซดต้มจืดมากกว่าเลยทำเป็นต้มจืดแทน เห็นบอกว่าอยากลองทำให้คุณชิมดูว่าจะถูกปากรึเปล่า”