เตชินท์ในชุดสูทสีดำเดินเข้าไปในโซนนั่งเล่น ที่มีเกวลินนั่งอยู่บนพื้นพรมด้วยชุดเสื้อยืดธรรมดา กางเกงขาสั้นธรรมดา นั่งคลิกโน้ตบุ๊กอยู่ไปพร้อมกับคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเสมือนกำลังคิดหนักกับเรื่องบางเรื่องอยู่ ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเตชินท์กำลังเดินเข้าไปนั่งใกล้
“ทำอะไร?” เตชินท์นั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางสุขุม จัดแจงถอดสูทนอกของตนเองออกอย่างใจเย็น เอ่ยถามเกวลินด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เกวลินเงยหน้าขึ้นมองเตชินท์ด้วยท่าทางตกใจ พลันหันหน้าไปมองที่บานประตูที่ปิดสนิทอยู่
“เย็นนี้อยากทานอะไร” เตชินท์เอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางนิ่ง หยิบมือถือขึ้นมากด หมายจะสั่งอาหารเย็นให้กับเกวลินดั่งเช่นทุกวัน นับตั้งแต่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในคอนโดฯ ด้วยกัน
“เย็นนี้ไม่ทาน อิ่มแล้ว” เกวลินตอบปฏิเสธทันที เพียงเพราะเธอไม่ได้รู้สึกหิวดั่งเช่นทุกวัน ด้วยเรื่องฝึกงานที่วนอยู่ในหัว
“ทานอะไรมา” นัยน์ตาคมจ้องมองเกวลินเสมือนไม่เชื่อในคำตอบของหญิงสาว จนกระทั่งได้รับคำอธิบายจากเกวลินจึงเริ่มเบาใจลง
“ทานข้าวเย็นกับเพื่อนมาแล้ว” เกวลินตอบกลับแบบขอไปที เพียงแค่อยากใช้สมาธิอยู่กับตนเอง
“อือ ถามว่าทำอะไร? ทำไมยังไม่ตอบ” เตชินท์พยักหน้ารับ พลันเอ่ยถามคำถามที่ตอนเองยังไม่ได้คำตอบ
“หาที่ฝึกงานอยู่ค่ะ” เกวลินเอ่ยปากตามความจริง เพียงเพราะเธอนั่งอยู่หน้าจอนานนับหลายชั่วโมง เพื่อหาที่ฝึกงานที่ใหม่ แต่กลับยังไม่ถูกใจที่ไหนเพิ่มสักเท่าไรนัก
“ยังไม่ได้เหรอ”
“แค่รอบริษัทตอบรับ เอ๊ะ นี่อะไรเหรอ” เกวลินตอบกลับเตชินท์ด้วยสีหน้าปลงตก แต่กลับต้องอุทานด้วยความแปลกใจ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับกล่องกำมะหยี่สีดำที่วางอยู่ข้างโน้ตบุ๊ก
“บัตรของเธอ” เตชินท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เป็นจังหวะเดียวที่เกวลินถือวิสาสะเปิดกล่องกำมะหยี่
“แบล็กการ์ดเหรอ? นี่คุณเปย์หนูมากไปรึเปล่า” เกวลินละความสนใจจากบัตรดำที่อยู่ตรงหน้า แหงนหน้าขึ้นเอ่ยถามเตชินท์ด้วยใบหน้าใสซื่อ
“ไม่ได้เปย์ อย่าเข้าใจผิด ฉันแค่ไม่อยากให้ครอบครัวเธอต่อว่าเอาได้” เตชินท์รีบอธิบายคำถามของเกวลินทันที เสมือนกลัวหญิงสาวเข้าใจผิดเนือง ๆ
“เหตุผลฟังขึ้น ขอบคุณค่ะ จะใช้จนคุณหมดตัวเลย” เกวลินพยักหน้ารับเบา ๆ กับคำตอบที่ได้รับจากเตชินท์ พลันเหน็บแนมด้วยความหมั่นไส้
“ช่วยทำให้หมดตัวที” เตชินท์ตอบกลับท่าทางสบาย ไม่ได้หวั่นกลัวกับคำขู่ของเกวลินแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกดีที่มีคนช่วยใช้เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
“หมั่นไส้” เกวลินเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้กับคำตอบของเตชินท์ ก่อนที่เธอนั้นจะละความสนใจจากชายหนุ่ม หันกลับไปให้ความสนใจกับโน้ตบุ๊กที่อยู่ตรงหน้า
“ยื่นสมัครงานที่บริษัทไหนเอาไว้”
“จินทีการ์ด” บริษัทขนาดกลางที่มาแรงในเวลานี้ โดยมีผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนใหม่บริหารซึ่งน่าสนใจไม่น้อยในสายธุรกิจ
“ไม่ต้องไป ให้ยื่นใบสมัครไปที่บริษัทวัฒนะกุลแทน”
“แต่บริษัทคุณ ไม่รับนักศึกษาฝึกงานหนิ”
“ใครบอก” เตชินท์รีบแย้งความคิดเกวลินขึ้นทันที พลันถามกลับหญิงสาวด้วยใบหน้าเลิ่กลั่ก
“นักศึกษาในมหา’ลัยคุยกันไง”
“มั่วแล้ว ถ้าอยากฝึกลองยื่นเอกสารไป”
“ไม่เอาหรอก ไม่อยากเป็นเด็กเส้น” เธอไม่อยากให้ใครกล่าวหาตนเองว่าเป็นเด็กเส้น จึงเว้นบริษัทของเตชินท์และครอบครัวเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ
“เรื่องนักศึกษาฝึกงาน ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด”
“เหรอ? เอาไว้จะลองส่งไปดู” หากเตชินท์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการคัดเลือกนักศึกษาฝึกงาน บริษัทวัฒนะกุล คือหนึ่งในตัวเลือกชั้นดี
“ส่งไปเดี๋ยวนี้เลย ระวังจะไม่มีที่ฝึกงาน”
“เร่งทำไม?”
“เรียนไม่จบ เดี๋ยวพ่อแม่เธอจะมาโวยวายใส่ฉัน”
“โอ๊ย! คุณกลัวพ่อแม่ฉันด้วยเหรอ” เกวลินอุทานขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ เมื่อถูกเตชินท์เร่งรัดเสมือนบีบบังคับให้เธอส่งอีเมลประวัติส่วนตัวไปที่บริษัทวัฒนะกุลที่ตนเองเป็นผู้บริหารอยู่
“ไม่อยากให้ใครมาว่าเอาได้”
“โอเค ๆ จะส่งเดี๋ยวนี้แหละ” เกวลินพอจะเข้าใจคำอธิบายของเตชินท์ได้ เพราะเขาคงไม่อยากถูกครอบครัวของเธอต่อว่าหรือตำหนิเอา เพราะหากเป็นเธอก็คงไม่ยอมเช่นกัน
เกวลินที่นั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊กส่งประวัติสมัครฝึกงานของตนเองให้กับหลายบริษัท กลับต้องเบนความสนใจไปกับเสียงมือถือเครื่องหรูของเตชินท์ที่วางอยู่ไม่ไกลนัก ส่วนเจ้าตัวหายเข้าไปอาบน้ำนานสองนาน
“คุณมีสายเข้า” เมื่อเสียงเรียกเข้าดังไม่หยุด ด้วยความรำคาญใจ เกวลินจึงตัดสินใจตะโกนเรียกเตชินท์ที่อยู่ในห้องนอนให้ออกมารับสาย แต่กลับไร้เสียงตอบกลับจากชายหนุ่ม
“เอาวะ? โทรเข้ามาขนาดนี้ เผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน” หญิงสาวจึงตัดสินใจกดรับสายด้วยตนเอง เผื่อมีเหตุฉุกเฉินและเรื่องด่วนให้เตชินท์ไปจัดการ
(เตชินท์คะ? ฉันยังไม่ลืมคุณ ฉันไม่สามารถลืมคุณได้เลย นี่เตชินท์คุณได้ยินฉันไหมคะ) ยังไม่ทันที่เกวลินจะเอ่ยปากตอบรับปลายสาย เสียงหวานของผู้หญิงคนหนึ่งกลับดังแทรกเข้ามาพอดี
(เดี๋ยวฉันบอก ให้เขาโทรกลับนะคะ) เกวลินสูดลมหายใจลึกเข้าปอด เปล่งเสียงใสตอบกลับปลายสายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
(เธอเป็นใคร) เสียงหวานแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงดุดันทันที แตกต่างจากน้ำเสียงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
(ภรรยาค่ะ) เกวลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง บอกกล่าวสถานะตนเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ชัดเจนทุกถ้อยคำ
(ภรรยาที่เตชินท์ปกปิดเอาไว้ เพราะถูกจับแต่งงานนะเหรอ) น้ำเสียงและคำพูดเย้ยหยันตอบกลับด้วยความริษยา หวังให้ปลายสายเสียใจ แต่คำตอบที่ได้รับกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
(คงเป็นแบบนั้นค่ะ)
(นี่เธอเล่นลิ้นกับฉันเหรอ)
(วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์เถียงกับคุณหรอกนะคะ อ้อ แต่ถ้าวันอื่นฉันพร้อมเสมอ) วันนี้เธอหมดแรงไปกับสถานที่ฝึกงานจนแทบไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับใคร จึงขอยกธงขาวเสียก่อนที่อารมณ์หงุดหงิดจะปะทุขึ้น
(อิบ้า) เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ มาพร้อมกับประโยคก่นด่าอย่างไร้มารยาทดังขึ้น
(คุณสิบ้า หน้าไม่อายโทรหาสามีชาวบ้าน)
ระหว่างที่เกวลินกำลังโต้เถียงปลายสายกลับด้วยอารมณ์หงุดหงิด เสียงทุ้มต่ำของเตชินท์กลับดังขึ้นมาขัดจังหวะพอดี
“ทำอะไร?”
“ผู้หญิงของคุณโทรเข้ามา ฉันก็นึกว่ามีใครตาย”
(กรี๊ด) เสียงกรีดร้องดังเล็ดลอดมาจากปลายสาย พลันให้เกวลินรีบยกมือถือออกห่างจากหูตนเอง เดินไปยื่นมือถือคืนเจ้าตัวด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“จะไปไหน” เตชินท์รับมือถือคืน รั้งข้อมือเล็กเอาไว้ เพียงแค่เกวลินกำลังจะเดินหนี พลันเอ่ยถามเกวลินเสียงเข้ม
“ง่วง จะนอน” เกวลินสะบัดมือออกเดินหนีเข้าไปในห้องด้วยความหงุดหงิด สร้างความมึนงงให้กับชายหนุ่มไม่น้อย
แต่กลับต้องยกมือถือแนบหู เพียงเพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองน้ำเสียงร้อนรน เล็ดลอดออกมาจากปลายสาย
(ดารินเธอมีอะไรรึเปล่า) เตชินท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยปนสุขุม สายตายังคงจับจ้องไปยังบานประตูที่ปิดสนิทอยู่
(ดาแค่เหงาก็เลยโทรหาเตชินท์ แต่ลืมไปว่าตอนนี้เตชินท์มีภรรยาแล้ว หวังว่าภรรยาเตชินท์คงไม่เข้าใจผิดนะคะ)
(ไม่หรอก แค่นี้ใช่ไหม)
(ดะ) เตชินท์ตัดสายทิ้งทันที โดยไม่รอให้ปลายสายพูดต่อจนจบ ใบหน้าหล่อเหลาแสดงสีหน้ารำคาญใจออกมาชัดเจน
ภายในห้องนอนที่เงียบสงัดมีเพียงแค่เสียงเครื่องปรับอากาศยังคงทำงานอยู่ ทำให้ได้ยินเสียงพึมพำเต็มไปด้วยความหงุดหงิดของเกวลินชัดเจนมากกว่าเดิม
“นี่ฉันหงุดหงิดอะไรอีกเนี่ย โอ๊ย” อารมณ์หงุดหงิดที่ปะทุขึ้นโดยเจ้าตัวก็ไม่ทราบสาเหตุ เผลอลืมตัวใช้เท้าเตะเข้าไปที่ขาเตียงอย่างลืมตัว จนเผลอร้องอุทานด้วยความเจ็บเสียงดัง
“เป็นอะไรรึเปล่า” เตชินท์ที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บ รีบวิ่งเข้ามาดูอาการเกวลินในห้องนอนด้วยความตื่นตระหนก
“เตะไปโดนขอบเตียง เจ็บชะมัดเลย”
“นั่งลง รออยู่ตรงนี้” เตชินท์ประคองร่างบางขึ้นมานั่งบนเตียง พลันเอ่ยปากสั่งคนตัวเล็กให้นั่งนิ่ง วิ่งออกจากห้องนอนแล้วกลับมาพร้อมกับยานวดที่อยู่ในมือ
“เฮ้ย! เดี๋ยว นั่นมันเท้านะคุณ” เกวลินอุทานด้วยความตกใจ เพียงแค่เตชินท์ยกเท้าของเธอวางที่ขาของตนเอง
“เริ่มบวมแล้ว ใช้ยานวดบรรเทาไปก่อน”
“แต่นี่มันเท้าฉัน มันสกปรก” เกวลินเลิ่กลั่กไปไม่น้อย ไม่คิดว่าเตชินท์จะทำอะไรแบบนี้กับตนเอง
“จะแทนตัวเองว่า ฉัน หรือ หนู เอาดี ๆ” เตชินท์ค่อย ๆ นวดเท้าเกวลินอย่างเบามือ ชายหนุ่มไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับทำอย่างระมัดระวังที่สุด พลันแหงนหน้าขึ้นมองเกวลินและตั้งคำถามกับเธอ
“แทนตัวเองได้หมดแหละ แล้วแต่อารมณ์”
“แต่ฉันชอบที่เธอแทนตัวเองว่า หนู มากกว่า”
“โอ๊ย” เกวลินร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ เบ้ปากเสมือนกำลังจะร้องไห้ จนเตชินท์ต้องเบามือลง
“ทนหน่อย”
“นี่จะหักเท้าหนู ใช่ไหมเนี่ย”
“จะหักทำไม? พิการขึ้นมาก็ต้องดูแลอีก” เตชินท์ส่ายศีรษะเบา ๆ ด้วยความเอือมระอา กับความคิดของหญิงสาว
“เหอะ! ทำไมฉันต้องให้คุณดูแลด้วย” เกวลินเบ้ปากด้วยความหงุดหงิด พลันเหลือบตามองด้วยความหมั่นไส้
“ฉันเป็นผัวเธอ เผื่อลืม”
“ลืมไปละ คิดว่าตัวเองโสดมาตลอด” ทุกอย่างในชีวิตของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะเธอแทบไม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับเตชินท์ด้วยซ้ำ
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“อ้าว ชีวิตฉันไม่เคยมีแฟน ไม่รู้ว่าคนมีแฟนต้องทำตัวยังไง จู่ ๆ ก็ปุบปับรับโชคเลย”
“ไม่เคยเหมือนกัน” เตชินท์ตอบกลับเสียงทุ้ม แต่แววตาแฝงไปด้วยความจริงจังในนั้น
“ระวังฟ้าผ่ากลางหัวนะลุง อายุไม่ใช่น้อย ๆ ละ”
“ไม่ได้สนใจผู้หญิงขนาดนั้น”
“แต่ผู้หญิงโทรมาฉ่ำเลยนะ” เกวลินอดประชดประชันไม่ได้ กับคำบอกเล่าที่ออกจากปากของเตชินท์
“หึง?” เตชินท์แหงนหน้าขึ้นสบตาเกวลิน เลิกหางคิ้วขึ้นเชิงถามหญิงสาวด้วยท่าทางท้าทาย
“ไม่มีทาง ทำไมหนูต้องหึงคุณด้วย” เกวลินปฏิเสธเสียงแข็ง ขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียง หันหน้าหนีและข่มตานอนไปในที่สุด