นั้นคือจุดเริ่มต้นสำหรับการเป็นเลขาบนเตียงของ ธรณ์ พัชรวิทิต นับจากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบสิบเดือนแล้วที่เธออยู่ภายใต้อาณัติของเขา เขาให้เธอย้ายออกมาอยู่คอนโดที่เขาซื้อเอาไว้ให้โดยเฉพาะเพื่อความสะดวกในตอนที่เขาจะแวะเข้ามากินของหวานมื้อดึก เกิดวันไหนกินไม่อิ่มจากที่ทำงานก็จะมากินเธอต่อที่คอนโด
เลขาบนเตียงอย่างเธอได้รับตำแหน่งนางบำเรอพ่วงเข้ามาโดยอัตโนมัติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เขาใช้งานเธอหนักแต่ก็ตอบแทนหนักเช่นกัน เม็ดเงินที่เขาส่งเสียเธอในระหว่างนี้ช่วยพยุงความเป็นอยู่ของครอบครัวเธอได้ดีขึ้นมาจากเมื่อก่อน มันมากพอที่จะทำให้เธอตั้งตัวได้เมื่อไม่มีเขา
เรื่องระหว่างเขาและเธอก็ยังคงเป็นความลับเหมือนเดิมไม่มีใครสงสัย เพราะธรณ์ พัชรวิทิต เฉลียวฉลาดทั้งยังเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าใครจะสงสัยอะไรเขาก็สามารถหาสิ่งอื่นมากลบเรื่องระหว่างเธอและเขาได้ทั้งหมด
อย่างการเปิดตัวว่าที่คู่หมั้นอย่างพิมพ์มาดาต่อสาธารณชน
คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าสวยงามก็เรียบเฉยขึ้นมาในทันที มือขาวยกแก้วค็อกเทลขึ้นมาดื่มเสียงดนตรีของคลับในยามนี้ไม่ได้สร้างความจรรโลงให้เธอเลยสักนิด
เพราะความใกล้ชิดที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้องทำให้คนเริ่มจับตาดูความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เสียงกระซิบกระซาบขยายออกเป็นวงกว้างรวมถึงการขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตขึ้นมาจนเป็นที่โจษจันไปทั่วบริษัท
เป็นเขาที่สยบข่าวฉาวด้วยการเปิดตัวพิมพ์มาดาลูกสาวตระกูลดังเป็นว่าที่คู่หมั้นเมื่อเดือนก่อน
เปิดตัวคู่หมั้นเหรอ…แล้วเธอล่ะเป็นอะไรสำหรับเขา
นางบำเรอ?
คู่นอน?
หรือแค่เลขาบนเตียง?
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่รมิตาไม่อยากยอมรับ
ร่างบางนั่งมองแก้วเหล้าเปล่า ก่อนจะสั่งแก้วใหม่จากบาร์เทรนเดอร์โดยไม่สนใจเลยว่าหนุ่มน้อยใหญ่ที่เดินผ่านเธอต่างมองกันตาเป็นมัน
รมิตาเป็นคนสวยมีเสน่ห์ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องเหลียวหลังยอมสยบให้กับความสวยสะกดของเธอราวกับต้องมนต์
วันนี้เธอไม่ได้กลับบ้านตามคำสั่งของท่านประธานแต่ออกจากบริษัทมานั่งดื่มเงียบๆ คนเดียวที่คลับ
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ” แก้วเหล้าสีอำพันวางอยู่ด้านข้างพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามานั่งข้างเธออย่างถือวิสาสะ รมิตาใช้หางตามองก่อนจะเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ขอโทษค่ะ ฉันต้องการนั่งเงียบๆ คนเดียว”
เน้นคำท้ายประโยคอย่างชัดเจน
“สาวสวยๆ อย่างคุณปล่อยให้นั่งคนเดียวคงเหงาแย่ ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนเถอะนะครับ” เขายังตอแยไม่เลิกพร้อมทั้งขยับเข้ามาใกล้จนรมิตาได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด
เมื่อรู้ว่าพูดไปก็ไม่รู้เรื่องหญิงสาวจึงเตรียมจะลุกหนีแต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายฉุดรั้งเอาไว้
“นี่ ปล่อยนะ” เธอขัดขืนแต่ก็สะบัดมือของชายคนนี้ไม่ออก รมิตากำลังมองหาทางรอดแต่แล้วก็มีชายปริศนาช่วยจับมือผู้ชายคนนั้นออกจากมือเธอ
“ถ้าผู้หญิงไม่เล่นด้วยก็ไม่ควรทำให้เธอลำบากใจนะครับ” คนมาใหม่บอกเสียงเรียบ สร้างความไม่พอใจแก่ชายขี้เมาเป็นอย่างมาก
“แล้วมึงเป็นใครมาแส่อะไรกับเรื่องของกู”
“ผมเป็นเจ้าของที่นี่ครับ ถ้าคุณลูกค้าเมาแล้วรบกวนลูกค้าท่านอื่น เราต้องขอเชิญคุณลูกค้าออกจากร้านนะครับ”
ยิ่งได้ฟังชายขี้เมาก็ยิ่งโมโหเขาเป็นถึงลูกชายของนายตำรวจใหญ่ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขาสักคน
“กูไม่ออก มึงรู้ไหมกูเป็นใคร ร้านกระจอกๆ ของมึงนะกูจะสั่งปิด เห้ยปล่อยกู ไอ้พวกขี้ข้าปล่อย!”
ไม่ทันที่ชายขี้เมาคนนั้นจะพูดจบการ์ดประจำร้านก็ช่วยกันหิ้วเขาออกมาจากตรงนั้น เอาไปทิ้งไว้ที่หน้าร้านและถูกสั่งให้ห้ามเข้าเป็นบุคคลถูกขึ้นชื่อบัญชีดำเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่เป็นไรนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ที่เข้ามาช่วย” รมิตาลอบมองชายหนุ่ม เขาเป็นผู้ชายที่ตัวสูงๆ พอกับเจ้านายของเธอ ใบหน้าขาวเนียนดูหล่อมากเลยทีเดียว
“มีอะไรติดหน้าผมหรือเปล่า” เขาถามเมื่อถูกจ้องหน้านานเกินไป
“อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันแค่คิดว่าเจ้าของคลับดูอายุน้อยกว่าที่คิดไว้นะคะ”
“ครับ ใครๆ ก็พูดอย่างนั้น แต่เห็นอย่างนี้ผมก็สามสิบห้าแล้วนะครับ”
“จริงเหรอคะ!”
เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเธอทำหน้าตกใจเสียเต็มประดา ดวงตากลมโตนั้นเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิม นั้นทำให้รมิตาหลุดยิ้มเหมือนว่าเธอจะปล่อยโก๊ะออกไป
ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองหญิงสาว ดวงตาดำล้ำลึกมองเธออย่างอ่อนโยนมุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม
“คุณยิ้มแล้วดูสวยมากๆ” เขาเอ่ยชมด้วยใจจริง
รมิตาหน้าแดงไปชั่วขณะเธอไม่เคยถูกใครชมแล้วมองตากันแบบนี้มาก่อนหญิงสาวรีบเบือนหน้าไปอื่น
เจ้าของร้านหนุ่มสั่งบรั่นดีของตัวเองจากบาร์เทรนเดอร์ ไม่นานแก้วที่เติมน้ำสีอำพันก็วางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับสายตาล้อเลียนบางอย่างที่รมิตาไม่ทันสังเกต
“คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ”
“ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่เวลาที่ฉันเบื่อก็มักจะมาที่นี่ ร้านคุณบรรยากาศดีนะคะ มาทีไรฉันรู้สึกผ่อนคลายทุกที”
ใบหน้างามยิ้มบางให้กับเจ้าของร้าน อยากรู้เหมือนกันว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากไหนในการตกแต่งร้านเหล้าที่สามารถช่วยให้คนที่เข้ามาใช้บริการสบายใจได้มากขนาดนี้
“ดีใจที่คุณชอบนะครับ แล้วคุณมีที่นั่งประจำไหมแบบต้องนั่งโต๊ะไหนที่นั่งแล้วคุณรู้สึกผ่อนคลายที่สุด”
รมิตานั่งคิดสักพักก็ชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้กับลานน้ำพุ ปกติเธอจะนั่งตรงนั้นแต่ทว่าวันนี้เธอมาช้าโต๊ะตัวนั้นมีเจ้าของเสียแล้ว
“งั้นคุณเอานามบัตรผมไป ถ้าคุณจะมาที่นี่อีกก็โทรหาผมได้จะได้ให้เด็กจองที่ตรงนั้นไว้ให้”
“ผมชื่อชยุตย์ครับ”
เขายื่นนามบัตรมาด้วยท่าทีสุภาพพร้อมกับแนะนำตัวเอง
รมิตามองบัตรสี่เหลี่ยมเล็กๆ ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบขึ้นมาเพ่งดูเพราะความสลัวแสงไฟทำให้เห็นตัวอักษรไม่ค่อยชัด
หากเป็นปกติรมิตาคงปฏิเสธที่จะรับนามบัตรจากคนแปลกหน้าแต่หนุ่มเจ้าของร้านหน้าตี๋คนนี้พึ่งช่วยเธอจากชายขี้เมา รมิตาจึงต้องรับน้ำใจของเขาด้วยการเก็บนามบัตรใบเล็กไว้ในกระเป๋า
“ขอบคุณนะคะ ฉันชื่อรมิตาค่ะเรียกมิตาเฉยๆ ก็ได้”
รมิตาแนะนำตัวเอง
“แต่ฉันคงไม่ทำแบบที่คุณว่าไม่ได้เพราะมันคงไม่แฟร์เท่าไหร่กับคนที่เขามาก่อนและตั้งใจที่จะมานั่งโต๊ะตัวนั้น”
เจ้าของร้านหนุ่มยิ้มมุมปาก ดวงตาคมมีประกายมองใบหน้าขาวเนียนที่กำลังขึ้นสีแดงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“คุณเมาแล้วหรือเปล่า”
รมิตาส่ายหน้าเบาๆ เธอไม่ได้พึ่งดื่มเป็นครั้งแรก รู้ว่าลิมิตของตัวเองได้แค่ไหน
“ฉันต้องกลับแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วย”
ยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลาที่หน้าจอเกือบจะห้าทุ่มแล้ว เหล่านักท่องราตรีก็เริ่มทยอยเข้ามากันไม่ขาด แม้จะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์
“ให้ผมไปส่งไหมครับคุณขับรถมาหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันเรียกรถมารับแล้ว”
เพราะเป็นช่วงเวลาดึกรมิตาจึงใช้บริการรถรับส่งผ่านแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัยมากกว่าการนั่งแท็กซี่
เจ้าของร้านหนุ่มไม่เซ้าซี้ให้หญิงสาวลำบากใจเขาอาสามาส่งเธอที่หน้าร้านรอจนรถที่เธอเรียกมาถึง ชายหนุ่มส่งเธอขึ้นรถและยืนมองตามรถเก๋งที่แล่นออกไปจนสุดสายตา
“ทำไมพึ่งกลับ!”
ทันทีที่รมิตาเปิดประตูเข้าไปในห้อง เสียงเย็นติดหงุดหงิดก็ดังขึ้นจนเสียวสันหลัง อุณหภูมิภายในห้องเย็นจัด ร่างบอบบางค่อยๆ เดินเข้ามาก็พบร่างสูงของคนคุ้นตานั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ บนโต๊ะมีแก้วเหล้าและขวดเหล้าที่พร่องไปกว่าครึ่ง
“ฉันถามว่าทำไมพึ่งกลับมิตา” เขาเค้นเสียงต่ำ แต่ทว่าไม่ได้หันมามอง
“มิตานึกว่าคุณจะไม่มานี่คะก็เลยไปนั่งเล่นที่คลับมา”
ก็เขาไปทานอาหารค่ำที่บ้านว่าที่คู่หมั้นมานี่ นึกว่าจะอยู่กับฝ่ายนั้นจนถึงเช้าหรือไม่ก็กลับบ้านไปไม่คิดว่าจะแวะมา
“แล้วทำไมไม่บอกฉัน”
“ขอโทษค่ะ มิตาไม่อยากรบกวนคุณเวลาที่อยู่กับคู่หมั้นเลยคิดว่าถ้าโทรไปหาคงไม่ดีเท่าไหร่”
“นี่กำลังประชดฉัน?”
“มิตาเปล่า”
“รมิตา!”
เขาลุกขึ้นเต็มความสูงก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาอยู่ตรงหน้ารมิตาด้วยสีหน้าโกรธจัด
ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววฉุนเฉียวบรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนตกอยู่ในความอึดอัด ชวนให้หายใจไม่ออก
เป็นธรณ์ที่ใช้มือลูบหน้าตัวเองแรงๆ ลดอารมณ์ที่กำลังเดือดดาล เขากลับจากการทานมื้อเย็นที่บ้านคู่หมั้นแล้วก็รีบมาหาเธอที่คอนโดทันที แต่พอมาถึงภายในห้องก็เงียบกริบไม่มีใครอยู่เขาต้องสะกดตัวเองให้นั่งรออย่างใจเย็นเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง
แล้วดูคำตอบที่ได้รับจากรับกับการรอมาหลายชั่วโมงกลายเป็นเธอสัพยอกเขาเรื่องไปทานข้าวกับคู่หมั้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วมิตาขอตัวไปอาบน้ำ”
ไม่รอคำอนุมัติจากชายหนุ่ม ร่างบางพาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำทันที
ปิดประตูห้องไว้แน่นหนาแต่ไม่กดล็อคเพราะอีกฝ่ายไม่ชอบ ถึงจะเคืองใจแต่รมิตาก็ปฏิบัติตัวตามความเคยชิน
กดเปิดน้ำกับสบู่เหลวเตรียมในอ่างไว้รอขณะที่ตัวเองกำลังถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดจนร่างงามเปลือยเปล่า
รวบผมยาวสลวยมัดรวมขึ้นไว้กลางศีรษะก่อนจะก้าวเดินลงไปนั่งในอ่างที่เต็มไปด้วยฟองสีขาวและกลิ่นหอมของสบู่เหลว
รมิตาเอนหลังพิงขอบอ่างเอนศีรษะไปข้างหลังพร้อมกับหลับตาพริ้ม น้ำเย็นๆ กับกลิ่นหอมช่วยให้ผ่อนคลาย เสียงน้ำที่ไหลกระทบกันช่วยรบกวนเรื่องฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัว