ตอนที่7

1864 Words
นั้นคือจุดเริ่มต้นสำหรับการเป็นเลขาบนเตียงของ ธรณ์ พัชรวิทิต นับจากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบสิบเดือนแล้วที่เธออยู่ภายใต้อาณัติของเขา เขาให้เธอย้ายออกมาอยู่คอนโดที่เขาซื้อเอาไว้ให้โดยเฉพาะเพื่อความสะดวกในตอนที่เขาจะแวะเข้ามากินของหวานมื้อดึก เกิดวันไหนกินไม่อิ่มจากที่ทำงานก็จะมากินเธอต่อที่คอนโด เลขาบนเตียงอย่างเธอได้รับตำแหน่งนางบำเรอพ่วงเข้ามาโดยอัตโนมัติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เขาใช้งานเธอหนักแต่ก็ตอบแทนหนักเช่นกัน เม็ดเงินที่เขาส่งเสียเธอในระหว่างนี้ช่วยพยุงความเป็นอยู่ของครอบครัวเธอได้ดีขึ้นมาจากเมื่อก่อน มันมากพอที่จะทำให้เธอตั้งตัวได้เมื่อไม่มีเขา เรื่องระหว่างเขาและเธอก็ยังคงเป็นความลับเหมือนเดิมไม่มีใครสงสัย เพราะธรณ์ พัชรวิทิต เฉลียวฉลาดทั้งยังเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าใครจะสงสัยอะไรเขาก็สามารถหาสิ่งอื่นมากลบเรื่องระหว่างเธอและเขาได้ทั้งหมด อย่างการเปิดตัวว่าที่คู่หมั้นอย่างพิมพ์มาดาต่อสาธารณชน คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าสวยงามก็เรียบเฉยขึ้นมาในทันที มือขาวยกแก้วค็อกเทลขึ้นมาดื่มเสียงดนตรีของคลับในยามนี้ไม่ได้สร้างความจรรโลงให้เธอเลยสักนิด เพราะความใกล้ชิดที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้องทำให้คนเริ่มจับตาดูความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เสียงกระซิบกระซาบขยายออกเป็นวงกว้างรวมถึงการขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตขึ้นมาจนเป็นที่โจษจันไปทั่วบริษัท เป็นเขาที่สยบข่าวฉาวด้วยการเปิดตัวพิมพ์มาดาลูกสาวตระกูลดังเป็นว่าที่คู่หมั้นเมื่อเดือนก่อน เปิดตัวคู่หมั้นเหรอ…แล้วเธอล่ะเป็นอะไรสำหรับเขา นางบำเรอ? คู่นอน? หรือแค่เลขาบนเตียง? ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่รมิตาไม่อยากยอมรับ ร่างบางนั่งมองแก้วเหล้าเปล่า ก่อนจะสั่งแก้วใหม่จากบาร์เทรนเดอร์โดยไม่สนใจเลยว่าหนุ่มน้อยใหญ่ที่เดินผ่านเธอต่างมองกันตาเป็นมัน รมิตาเป็นคนสวยมีเสน่ห์ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องเหลียวหลังยอมสยบให้กับความสวยสะกดของเธอราวกับต้องมนต์ วันนี้เธอไม่ได้กลับบ้านตามคำสั่งของท่านประธานแต่ออกจากบริษัทมานั่งดื่มเงียบๆ คนเดียวที่คลับ “ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ” แก้วเหล้าสีอำพันวางอยู่ด้านข้างพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามานั่งข้างเธออย่างถือวิสาสะ รมิตาใช้หางตามองก่อนจะเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ “ขอโทษค่ะ ฉันต้องการนั่งเงียบๆ คนเดียว” เน้นคำท้ายประโยคอย่างชัดเจน “สาวสวยๆ อย่างคุณปล่อยให้นั่งคนเดียวคงเหงาแย่ ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนเถอะนะครับ” เขายังตอแยไม่เลิกพร้อมทั้งขยับเข้ามาใกล้จนรมิตาได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด เมื่อรู้ว่าพูดไปก็ไม่รู้เรื่องหญิงสาวจึงเตรียมจะลุกหนีแต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายฉุดรั้งเอาไว้ “นี่ ปล่อยนะ” เธอขัดขืนแต่ก็สะบัดมือของชายคนนี้ไม่ออก รมิตากำลังมองหาทางรอดแต่แล้วก็มีชายปริศนาช่วยจับมือผู้ชายคนนั้นออกจากมือเธอ “ถ้าผู้หญิงไม่เล่นด้วยก็ไม่ควรทำให้เธอลำบากใจนะครับ” คนมาใหม่บอกเสียงเรียบ สร้างความไม่พอใจแก่ชายขี้เมาเป็นอย่างมาก “แล้วมึงเป็นใครมาแส่อะไรกับเรื่องของกู” “ผมเป็นเจ้าของที่นี่ครับ ถ้าคุณลูกค้าเมาแล้วรบกวนลูกค้าท่านอื่น เราต้องขอเชิญคุณลูกค้าออกจากร้านนะครับ” ยิ่งได้ฟังชายขี้เมาก็ยิ่งโมโหเขาเป็นถึงลูกชายของนายตำรวจใหญ่ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขาสักคน “กูไม่ออก มึงรู้ไหมกูเป็นใคร ร้านกระจอกๆ ของมึงนะกูจะสั่งปิด เห้ยปล่อยกู ไอ้พวกขี้ข้าปล่อย!” ไม่ทันที่ชายขี้เมาคนนั้นจะพูดจบการ์ดประจำร้านก็ช่วยกันหิ้วเขาออกมาจากตรงนั้น เอาไปทิ้งไว้ที่หน้าร้านและถูกสั่งให้ห้ามเข้าเป็นบุคคลถูกขึ้นชื่อบัญชีดำเป็นที่เรียบร้อย “ไม่เป็นไรนะครับ” “ขอบคุณค่ะ ที่เข้ามาช่วย” รมิตาลอบมองชายหนุ่ม เขาเป็นผู้ชายที่ตัวสูงๆ พอกับเจ้านายของเธอ ใบหน้าขาวเนียนดูหล่อมากเลยทีเดียว “มีอะไรติดหน้าผมหรือเปล่า” เขาถามเมื่อถูกจ้องหน้านานเกินไป “อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันแค่คิดว่าเจ้าของคลับดูอายุน้อยกว่าที่คิดไว้นะคะ” “ครับ ใครๆ ก็พูดอย่างนั้น แต่เห็นอย่างนี้ผมก็สามสิบห้าแล้วนะครับ” “จริงเหรอคะ!” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเธอทำหน้าตกใจเสียเต็มประดา ดวงตากลมโตนั้นเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิม นั้นทำให้รมิตาหลุดยิ้มเหมือนว่าเธอจะปล่อยโก๊ะออกไป ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองหญิงสาว ดวงตาดำล้ำลึกมองเธออย่างอ่อนโยนมุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม “คุณยิ้มแล้วดูสวยมากๆ” เขาเอ่ยชมด้วยใจจริง รมิตาหน้าแดงไปชั่วขณะเธอไม่เคยถูกใครชมแล้วมองตากันแบบนี้มาก่อนหญิงสาวรีบเบือนหน้าไปอื่น เจ้าของร้านหนุ่มสั่งบรั่นดีของตัวเองจากบาร์เทรนเดอร์ ไม่นานแก้วที่เติมน้ำสีอำพันก็วางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับสายตาล้อเลียนบางอย่างที่รมิตาไม่ทันสังเกต “คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ” “ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่เวลาที่ฉันเบื่อก็มักจะมาที่นี่ ร้านคุณบรรยากาศดีนะคะ มาทีไรฉันรู้สึกผ่อนคลายทุกที” ใบหน้างามยิ้มบางให้กับเจ้าของร้าน อยากรู้เหมือนกันว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากไหนในการตกแต่งร้านเหล้าที่สามารถช่วยให้คนที่เข้ามาใช้บริการสบายใจได้มากขนาดนี้ “ดีใจที่คุณชอบนะครับ แล้วคุณมีที่นั่งประจำไหมแบบต้องนั่งโต๊ะไหนที่นั่งแล้วคุณรู้สึกผ่อนคลายที่สุด” รมิตานั่งคิดสักพักก็ชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้กับลานน้ำพุ ปกติเธอจะนั่งตรงนั้นแต่ทว่าวันนี้เธอมาช้าโต๊ะตัวนั้นมีเจ้าของเสียแล้ว “งั้นคุณเอานามบัตรผมไป ถ้าคุณจะมาที่นี่อีกก็โทรหาผมได้จะได้ให้เด็กจองที่ตรงนั้นไว้ให้” “ผมชื่อชยุตย์ครับ” เขายื่นนามบัตรมาด้วยท่าทีสุภาพพร้อมกับแนะนำตัวเอง รมิตามองบัตรสี่เหลี่ยมเล็กๆ ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบขึ้นมาเพ่งดูเพราะความสลัวแสงไฟทำให้เห็นตัวอักษรไม่ค่อยชัด หากเป็นปกติรมิตาคงปฏิเสธที่จะรับนามบัตรจากคนแปลกหน้าแต่หนุ่มเจ้าของร้านหน้าตี๋คนนี้พึ่งช่วยเธอจากชายขี้เมา รมิตาจึงต้องรับน้ำใจของเขาด้วยการเก็บนามบัตรใบเล็กไว้ในกระเป๋า “ขอบคุณนะคะ ฉันชื่อรมิตาค่ะเรียกมิตาเฉยๆ ก็ได้” รมิตาแนะนำตัวเอง “แต่ฉันคงไม่ทำแบบที่คุณว่าไม่ได้เพราะมันคงไม่แฟร์เท่าไหร่กับคนที่เขามาก่อนและตั้งใจที่จะมานั่งโต๊ะตัวนั้น” เจ้าของร้านหนุ่มยิ้มมุมปาก ดวงตาคมมีประกายมองใบหน้าขาวเนียนที่กำลังขึ้นสีแดงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ “คุณเมาแล้วหรือเปล่า” รมิตาส่ายหน้าเบาๆ เธอไม่ได้พึ่งดื่มเป็นครั้งแรก รู้ว่าลิมิตของตัวเองได้แค่ไหน “ฉันต้องกลับแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วย” ยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลาที่หน้าจอเกือบจะห้าทุ่มแล้ว เหล่านักท่องราตรีก็เริ่มทยอยเข้ามากันไม่ขาด แม้จะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ “ให้ผมไปส่งไหมครับคุณขับรถมาหรือเปล่า” “ไม่เป็นไรค่ะฉันเรียกรถมารับแล้ว” เพราะเป็นช่วงเวลาดึกรมิตาจึงใช้บริการรถรับส่งผ่านแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัยมากกว่าการนั่งแท็กซี่ เจ้าของร้านหนุ่มไม่เซ้าซี้ให้หญิงสาวลำบากใจเขาอาสามาส่งเธอที่หน้าร้านรอจนรถที่เธอเรียกมาถึง ชายหนุ่มส่งเธอขึ้นรถและยืนมองตามรถเก๋งที่แล่นออกไปจนสุดสายตา “ทำไมพึ่งกลับ!” ทันทีที่รมิตาเปิดประตูเข้าไปในห้อง เสียงเย็นติดหงุดหงิดก็ดังขึ้นจนเสียวสันหลัง อุณหภูมิภายในห้องเย็นจัด ร่างบอบบางค่อยๆ เดินเข้ามาก็พบร่างสูงของคนคุ้นตานั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ บนโต๊ะมีแก้วเหล้าและขวดเหล้าที่พร่องไปกว่าครึ่ง “ฉันถามว่าทำไมพึ่งกลับมิตา” เขาเค้นเสียงต่ำ แต่ทว่าไม่ได้หันมามอง “มิตานึกว่าคุณจะไม่มานี่คะก็เลยไปนั่งเล่นที่คลับมา” ก็เขาไปทานอาหารค่ำที่บ้านว่าที่คู่หมั้นมานี่ นึกว่าจะอยู่กับฝ่ายนั้นจนถึงเช้าหรือไม่ก็กลับบ้านไปไม่คิดว่าจะแวะมา “แล้วทำไมไม่บอกฉัน” “ขอโทษค่ะ มิตาไม่อยากรบกวนคุณเวลาที่อยู่กับคู่หมั้นเลยคิดว่าถ้าโทรไปหาคงไม่ดีเท่าไหร่” “นี่กำลังประชดฉัน?” “มิตาเปล่า” “รมิตา!” เขาลุกขึ้นเต็มความสูงก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาอยู่ตรงหน้ารมิตาด้วยสีหน้าโกรธจัด ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววฉุนเฉียวบรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนตกอยู่ในความอึดอัด ชวนให้หายใจไม่ออก เป็นธรณ์ที่ใช้มือลูบหน้าตัวเองแรงๆ ลดอารมณ์ที่กำลังเดือดดาล เขากลับจากการทานมื้อเย็นที่บ้านคู่หมั้นแล้วก็รีบมาหาเธอที่คอนโดทันที แต่พอมาถึงภายในห้องก็เงียบกริบไม่มีใครอยู่เขาต้องสะกดตัวเองให้นั่งรออย่างใจเย็นเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง แล้วดูคำตอบที่ได้รับจากรับกับการรอมาหลายชั่วโมงกลายเป็นเธอสัพยอกเขาเรื่องไปทานข้าวกับคู่หมั้น “ถ้าไม่มีอะไรแล้วมิตาขอตัวไปอาบน้ำ” ไม่รอคำอนุมัติจากชายหนุ่ม ร่างบางพาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำทันที ปิดประตูห้องไว้แน่นหนาแต่ไม่กดล็อคเพราะอีกฝ่ายไม่ชอบ ถึงจะเคืองใจแต่รมิตาก็ปฏิบัติตัวตามความเคยชิน กดเปิดน้ำกับสบู่เหลวเตรียมในอ่างไว้รอขณะที่ตัวเองกำลังถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดจนร่างงามเปลือยเปล่า รวบผมยาวสลวยมัดรวมขึ้นไว้กลางศีรษะก่อนจะก้าวเดินลงไปนั่งในอ่างที่เต็มไปด้วยฟองสีขาวและกลิ่นหอมของสบู่เหลว รมิตาเอนหลังพิงขอบอ่างเอนศีรษะไปข้างหลังพร้อมกับหลับตาพริ้ม น้ำเย็นๆ กับกลิ่นหอมช่วยให้ผ่อนคลาย เสียงน้ำที่ไหลกระทบกันช่วยรบกวนเรื่องฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD