ต่อให้เมื่อคืนจะถูกคนกินดุจับกินจนดึกแต่รมิตาก็ตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวมาทำงานตามปกติ วันนี้มีนัดประชุมสำคัญของฝ่ายบริหาร เธอจึงมาเตรียมเอกสารการประชุมแต่เช้า
“มิตา กาแฟจ้ะ” แป๋วแหววยกแก้วกาแฟร้านหรูชูขึ้น พร้อมกับส่งรอยยิ้มทักทายเพื่อนสนิทเสียงสดใส
“อยากกินอยู่พอดีเลย ขอบคุณน๊า” รมิตารับแก้วกาแฟจากเพื่อนรัก ดูดเครื่องดื่มที่สามารถลดความง่วงตลอดทั้งวันได้ทันที
“นอนดึกอีกแล้วล่ะซิ”
“อืม ต้องเคลียร์อะไรหลายอย่างนะ”
แป๋วแหววมองซ้ายแลขวาเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครเธอจึงหย่อนก้นข้างหนึ่งนั่งบนโต๊ะทำงานของรมิตา
“เอาจริงเหรอเรื่องนั้นนะ”
รมิตาที่กำลังเพลิดเพลินกับกาแฟมื้อเช้าหยุดชะงัก ค่อยๆ วางแก้วกาแฟที่รู้สึกกร่อยลง
“อาห่ะ”
“มาถึงขนาดนี้แล้วไม่ลองสู้ดูสักตั้ง”
สู้ทั้งที่รู้ผลลัพธ์ยังไงก็แพ้นะเหรอ…
รมิตาส่ายหน้า เธอไม่มีอะไรจะไปสู้กับใครได้หรอก
“มิตารักเขาไม่ใช่เหรอ ลองดูก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่น่า ในเมื่อสุดท้ายคิดจะไปอยู่แล้ว”
รมิตาไม่ตอบ ใบหน้างามเศร้าสร้อย
“ถึงเราจะไม่ชอบที่คุณธรณ์ใช้เรื่องนั้นมาบังคับมิตา แต่เราก็คิดนะว่าเขาต้องมีใจให้มิตาบ้างแหละไม่งั้นคงไม่ดูแลดีขนาดนี้”
“แป๋ว เขากำลังจะหมั้นนะถ้าเขามีใจอย่างที่แป๋วว่าเขาจะให้มิตาอยู่แบบหลบๆ ซ้อนๆ เหมือนเมียเก็บได้ยังไง เขาเปิดตัวคู่หมั้นไม่สนใจความรู้สึกมิตาด้วยซ้ำ”
หัวใจของรมิตาเจ็บแปลบเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาสุกใสแดงเรื่อขึ้นด้วยความน้อยอกน้อยใจ
รมิตาได้คิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว พอหมดสัญญาหนึ่งปีเธอจะลาออกจากบริษัทกลับไปอยู่บ้านสักพักฟื้นฟูหัวใจที่บอบช้ำ
“โอเคๆ มิตาอย่าร้องขอโทษนะเราไม่ดีเอง” แป๋วหยิบทิชชูส่งให้ รู้สึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ สักทีที่พูดไม่ทันคิด
เรื่องที่รมิตาเป็นเด็กของท่านประธานแป๋วแหววรู้มาสักระยะหนึ่งแล้ว ถึงจะไม่ชอบใจที่คนมีอำนาจอย่างเขามารังแกเพื่อนตัวน้อยๆ ของเธอแต่แป๋วแหววก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย คนนอนคุยกันกับยืนกันมันคงมีรายละเอียดอีกมากที่เธอไม่รู้
แต่ที่รู้แน่ๆ คือตอนนี้เพื่อนของเธอมีใจให้ท่านประธาน
แป๋วแหววสงสารรมิตาจับใจแต่เรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้ แป๋วแหววอยากให้รมิตาสมหวังแต่ทว่าการตบมือข้างเดียวมันจะไปมีความหมายอะไร
“แล้วจะยื่นใบลาออกเมื่อไหร่ บอกเขาหรือยัง อีกไม่ถึงสองเดือนแล้วนี่”
“ยังไม่ได้บอกว่าจะบอกวันที่ยื่นเลย ตอนนี้กำลังเคลียร์งานให้คุณชา เผื่อตอนออกไปจะได้ไม่ทำงานกันลำบาก”
“เฮ้อ! มิตาเนี่ยน่า เอาเถอะยังไงเราก็อยู่ข้างมิตาเสมอ อย่าไปฟังพวกปากหอยปากปูมาก มีปากก็พูดไปเรื่อยนั่นแหละ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
ด้านล่างเริ่มมีเสียงพนักงานพูดคุยกัน แป๋วแหววยกมือขึ้นดูนาฬิกา
“งั้นเราไปแล้วนะ ได้เวลาทำงานล่ะ have a good day (ขอให้เป็นวันที่ดี) นะจ๊ะ อย่าคิดมากเติมหน้าสักหน่อยตาบวมหมดแล้ว”
“อื้อ”
ระหว่างที่รมิตากำลังทำงานอยู่ประธานหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อติดเย็นชาก็เดินขึ้นเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึงวันนี้เขาสวมเสื้อเชิดสีฟ้าทับด้วยสูทสีน้ำเงินที่รมิตาเตรียมไว้ให้เมื่อเช้า ด้านหลังมีชยพลเลขาคนสนิทเดินตามมาติดๆ
ท่านประธานปรายตามองรมิตาครู่หนึ่งแล้วเดินเลยเข้าไปในห้องตัวเอง รมิตารู้ว่าเขาไม่พอใจที่เธอขัดคำสั่ง
เมื่อคืนกว่าจะปล่อยให้เธอนอนก็ดึกมากแล้วพอตื่นขึ้นมาก็ไม่พบร่างนิ่มที่เคยกอด ทั้งที่เขาบอกให้เธอหยุดพักเธอกลับมาทำงานเหมือนปกติแล้วมาอ้างว่าเหนื่อยในยามที่เขาอยากกอด
เสียงประตูห้องทำงานของคนอารมณ์ไม่ดีปิดดัง ปัง! ทำรมิตาสะดุ้งตกใจเหลือบมองชยพลที่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“วันนี้ผมจะเข้าประชุมแทนคุณมิตานะครับ เป็นคำสั่งของนายท่าน”
“ค่ะ เอกสารค่ะ”
รมิตายื่นเอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการประชุมทั้งหมดให้ชยพล
“ขอโทษนะครับคุณมิตา” เพราะรมิตาเตรียมเอกสารทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
“ไม่เป็นไรค่ะไม่ต้องคิดมากนะคะ ยังไงหน้าที่ของมิตาก็คือช่วยงานคุณชาอยู่แล้ว”
“ชา! มั่วทำอะไรอยู่”
เสียงตวาดดังออกมาจากห้องท่านประธาน ชยพลรีบรับเอกสารจากรมิตาแล้วรีบเดินเข้าไปหาคนใจร้อนทันที
ภายในห้องประชุมเหมือนกำลังโดนขีปนาวุธลูกใหญ่ระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงตวาดดังลั่นห้องขึ้นเป็นระยะ ไม่รู้วันนี้ท่านประธานของธารารินไปกินอะไรผิดสำแดงมาแต่เช้า ถึงได้ไล่ด่าตั้งแต่ระดับสูงลงไปถึงระดับล่าง ไม่ว่าใครเดินผ่านห้องประชุมใหญ่ก็รีบถอยกรูดหนีออกห่างกันทั้งนั้น
ช่วงพักเที่ยงวันนี้พนักงานต่างพูดกันถึงเรื่องการประชุมที่เหมือนสงครามขนาดย่อมช่วงเช้า เดากันไปต่างๆ นานาว่าทำไมท่านประธานถึงอารมณ์ไม่ดีทั้งที่ปกติเขาเป็นคนใจเย็นสุขุม
‘ท่านประธานไปกินรังแตนที่ไหนมา’
‘มีใครทำให้ไม่พอใจหรือเปล่า’
ใครที่ว่าคงหนีไม่พ้นรมิตา เรื่องอะไรก็ตามที่เสียหายคนแรกที่นึกถึงคือเลขาลับๆ ของท่านประธาน
‘คนนั้นนะไม่ใช่ตกกระป๋องไปแล้วเหรอ ท่านประธานเปิดตัวคุณพิมพ์ขนาดนั้น คงเบื่อแม่นั้นแล้วล่ะ’
‘โดนเขี่ยทิ้งแล้วนะซิ นี่คงวอแวจนท่านประธานรำคาญจนมาลงกับพวกเราแน่ๆ’
เสียงพูดคุยกันอย่างออกรสทำให้คนที่กำลังนั่งทานอาหารกลางวันอยู่โต๊ะด้านหลังที่มีกระถางพุ่มไม้ใหญ่บดบังอยู่วางช้อนที่กำลังตักข้าวลงทั้งที่พึ่งกินไปได้ไม่กี่คำ
ปกติรมิตาจะมาทานอาหารกลางวันกับแป๋วแหววแต่วันนี่เพื่อนสาวมีธุระออกไปข้างนอกรมิตาจึงมาพักกลางวันที่โรงอาหารของบริษัทคนเดียว