เมลดาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแต่เธอก็ต้องทนมองหน้าเขาเพราะถ้าหากเดินกลับไปที่สวนสนุกตอนนี้ วาคิมต้องเจอกับบอสตันแน่ๆ และถ้าบอสตันเผลอเรียกมาวินว่าลุง วาคิมจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน
“คุณรอฉันก่อนได้ไหม ถ้าอยากจะกินข้าวกับฉันจริงๆ ก็อย่าพูดจากวนโมโหให้มันมากนัก”
“เดี๋ยวนี้คุณอารมณ์เสียง่ายจังเลยนะ แต่ก่อนพูดจาอ่อนหวานกว่านี้เยอะเลย”
“คนเราโตขึ้นมันก็ต้องเปลี่ยนไป ฉันไม่ใช่โมเดลคนก่อนคุณที่คุณจะหลอกได้”
“พูดดีๆ หน่อยนะโมเดลใครกันแน่ที่หลอกกัน”
“ตกลงจะไปกินข้าวกับฉันไหม ถ้าจะไปก็เงียบ”
วาคิมยอมเงียบเพราะเขาอยากจะนั่งทานข้าวกับเมลดา ถึงแม้จะเลิกกันไปแล้วแต่ลึกๆ เขาก็อยากจะรู้ว่าที่ผ่านมาชีวิตของหญิงสาวเป็นยังไงบ้าง
เมลดามองหน้าเขาแล้วถอนหายใจก่อนจะเลี่ยงมาโทรศัพท์หาพี่ชาย
“พี่วินคะ พี่ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
“เปล่านะ มีอะไรเหรอโมเดลเสียงเราฟังดูรีบร้อนมาก”
“โมเดลเจอวาคิมที่ห้าง”
“แล้วยังไงเขาเจอบอสตันไหม” มาวินกลัวว่าวาคิมกับบอสตันจะเจอกันและความลับของน้องสาวจะไม่เป็นความลับ
“เขายังไม่เจอค่ะ พอดีบอสตันอยู่ในสวนสนุก แต่โมเดลออกมาเดินเลือกซื้อเครื่องสำอางร้านใกล้ๆ กับสวนสนุก พี่วินมารับบอสตันไปได้ไหม โมเดลกลัวว่าเขาจะตามไปจนเจอบอสตัน” หญิงสาวรีบพูดอย่างรวดเร็วขณะที่ตาก็มองไปทางวาคิมสลับกับมองลูกชายที่เล่นอยู่ในสวนสนุก
“แล้วโมเดลจะไปไหนล่ะ”
“เขาชวนไปกินข้าว”
“โมเดลจะไปกับเขาเหรอ ห่างจากเขาหน่อยดีไหม”
“โมเดลก็ไม่อยากไปนะคะ แต่ถ้าเขาเดินตามก็กลัวจะเจอกับบอสตัน” หญิงสาวอยากจะกันวาคิมให้ออกห่างจากลูกชายของตนเองให้มากที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นโมเดลไปกับเขาก่อนก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรก็โทรบอกพี่ เดี๋ยวพี่จะไปรับบอสตันเอง
“ขอบคุณค่ะพี่วิน”
“พี่ว่าจะพาบอสตันไปเก็บของที่บ้านและบอกคุณน้าก่อนแล้วคืนนี้จะพาเขาไปนอนด้วยที่บ้าน”
“พรุ่งนี้ค่อยไปค้างไม่ได้เหรอคะพี่วิน”
“พี่กลัวเขาจะตามไปส่งโมเดลที่บ้าน”
“ก็ได้ค่ะพี่วิน โมเดลฝากลูกด้วยนะคะ”
เมื่อบอกพี่ชายแล้วเมลดาก็เดินกลับมาหาวาคิมที่ยืนรออยู่หน้าร้านเครื่องสำอาง
“โทรบอกเขาแล้วเหรอ เขาว่าอะไรไหม”
“ไม่ค่ะ”
“ใจกว้างดีเหมือนกันนะ แล้วบอกเขาหรือเปล่าล่ะว่าจะกลับดึก”
“เราแค่ไปกินข้าวฉันว่าคงไม่ดึกมากหรอกมั้งคะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เราไม่ได้เจอกันนานบางทีอาจจะมีเรื่องคุยกันมากกว่าที่คิดก็ได้”
“ฉันให้เวลาคุณถึงสองทุ่มค่ะวาคิม”
“ตอนนี้มันใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้วนะเหลือเวลาอีกแค่ 2 ชั่วโมงเหรอ” วาคิมมองนาฬิกาแล้วทำหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“ฉันว่ามันตั้ง 2 ชั่วโมงต่างหากล่ะ”
“ดูเหมือนคุณไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมหน่อยนะโมเดล”
“เราสองคนไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกันหลอกนะวาคิม”
“คุณกลัวที่จะคุยกับผมใช่ไหม”
“ทำไมฉันจะต้องกลัวด้วยล่ะ คุณมีอะไรที่จะต้องกลัวกัน”
“ถ้าไม่กลัวที่จะคุยกับผมแล้วทำไมต้องกำหนดเวลาด้วยล่ะหรือว่ากลัวคุยไปนานๆ แล้วถ่านไฟเก่าจะคุ”
“ฉันไม่เคยกลัวว่าถ่านไฟเก่าจะคุเพราะระหว่างฉันกับคุณแม้แต่ขี้เถ้ามันก็ไม่มีเหลือค่ะวาคิม แต่ที่รีบกลับเพราะฉันมีลูกและมีครอบครัว ฉันก็ต้องให้เวลากับครอบครัวของฉันสิ” เมลดาพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“วันนี้ผมจะยอมคุณไปก่อนก็ได้ ผมจะกินไปข้าวกับคุณและไปส่งคุณที่บ้านรับรองว่าไม่เกินสามทุ่มหรอก แต่วันหลังผมจะหาโอกาสไปทานข้าวกับครอบครัวของคุณ”
“ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่คุณจะต้องไปทานข้าวกับครอบครัวของฉัน”
“จำเป็นสิอย่างน้อยก็ในฐานะผัวเก่า”
“หยุดพูดจาหยาบคายแบบนี้ได้แล้ววาคิม”
“ทำไมรับไม่ได้เหรอ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าจะพูดออกมาเลยนะ เราสองคนจบกันไปแล้ว ที่ฉันยอมมากินข้าวกับคุณวันนี้ก็ยังมันก็แย่มากพอแล้ว”
หญิงสาวมองหน้าวาคิมอย่างไม่พอใจเธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่ทั้งที่เลิกรากันไปนานแล้วแต่พอเจอกันเขายังกลับมาตามตอแยจนเธอกลัวว่าความลับที่ปกปิดไว้มันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป บางทีการกลับมาอยู่เมืองไทยครั้งนี้มันอาจจะเป็นเรื่องที่เธอคิดผิดก็ได้
“คุณอยากไปกินอะไรล่ะโมเดล” วาคิมหันมาถามหญิงสาว
“ร้านไหนก็ได้ในห้างนี่แหละฉันไม่อยากเสียเวลามาก”
“คำก็เสียเวลาสองคำก็เสียเวลา ผมอยากจะรู้นักเชียวว่าที่บ้านของคุณมันมีอะไรคุณก็ต้องรีบกลับ”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าที่นั่นมีครอบครัวของฉัน”
“ครอบครัวของคุณที่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเกือบจะเป็นครอบครัวของผม”
“วาคิมถ้ายังอยากไปกินข้าวด้วยกันก็หยุดพูดถึงเรื่องราวในอดีตก่อนได้ไหม”
“ทำไมกลัวใจตัวเองเหรอ”
“ทำไมฉันจะต้องกลัวใจตัวเองด้วยล่ะวาคิม”
“ก็คุณกลัวว่าผมจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างคุณกับสามีคุณไงล่ะ เราเคยรักกันมากนี่หรือคุณจำไม่ได้ว่าเราสองคนเคยรักกันมากแค่ไหน”
“ฉันไม่เคยกลัวเรื่องแบบนั้นเลย” เมลดาพูดออกไปตามจริง
“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจมากนะว่าจะไม่มีใครแทรกกลางระหว่างความรักของคุณกับสามีได้”
“ค่ะฉันมั่นใจแบบนั้น”
“แล้วทำไมตอนที่คบกับผมคุณถึงยอมให้เขาเข้ามาแทรกกลางระหว่างเรา ผมอยากรู้ว่าเขาใช้วิธีไหนคุณถึงไปจากผมง่ายๆ ไปโดยไม่บอกกันสักคำ”
“วาคิมฉันขอพูดครั้งสุดท้ายถ้าคุณยังพูดถึงเรื่องในอดีตอีกฉันจะกลับบ้านและเราจะไม่เจอกันอีก”
“โอเค โอเคผมยอมก็ได้เราไปกินอาหารญี่ปุ่นกันดีไหมผมจำได้นะว่าคุณชอบกินแซลมอน”
“ฉันไม่อยากกินแล้ว ตอนนี้ฉันอยากกินอาหารไทยมากกว่า” เธอกลัวว่าบรรยากาศเก่าๆ จะทำให้ตนเองกลับมานึกถึงช่วงเวลาที่คบกันอีกครั้งเมลดาเลยไม่อยากไปกินอาหารญี่ปุ่นกับเขาเพราะสมัยเรียนเธอกับเขาไปทานด้วยกันเกือบทุกอาทิตย์
“ได้สิ มีร้านหนึ่งอาหารอร่อยเดี๋ยวผมจะพาไป”
เมลดาโล่งใจที่ไม่ต้องไปนั่งทานอาหารในห้างเพราะเธอกลัวว่าจะมีคนมาเจอและขี้เกียจจะตอบคำถาม
“ฉันไปร้านที่คุณบอกก็ได้ คุณขับนำไปแล้วกันนะ”
“จะขับรถตามกันไปให้วุ่นวายทำไมคุณนั่งรถไปกับผมก็หมดเรื่อง”
“แต่ฉันเอารถมาเอง”
“กินเสร็จผมจะมาส่งคุณที่นี่ตกลงไหม”
“แต่ฉันว่า....”
“ถ้าคุณยังชักช้าอยู่แบบนี้ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าจะส่งคุณถึงบ้านก่อนสามทุ่มหรือเปล่าเพราะช่วงเย็นแบบนี้รถมันติดมากและคุณเพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยชินกับทางที่จะไปร้านก็ได้นะ” วาคิมชักแม่น้ำทั้งห้าเพราะอยากให้เมลดานั่งรถไปกับเขา
“ก็ได้รถคุณจอดอยู่ที่ไหนล่ะ หรือนำไปสิ”