คราวนี้คุณหญิงการะเกดยิ้มเยาะ ในอกร้อนผ่าวในยามประชดอีกฝ่ายว่า
“ก็จะตำแหน่งอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เปิดตัวเธอในฐานะลูกสาวคุณดิษย์ สมใจเธอแล้วสินะ” ตอนท้ายผู้มากวัยกว่าอดไม่ได้จะประชดหญิงสาว
และนั่นก็ทำให้การะบุหนิงเลิกถามคุณหญิงการะเกดอีกเลย ได้แต่นั่นเงียบและพยายามจดจำสิ่งที่คุณหญิงสอนให้มากที่สุดก็พอ และเมื่อถึงเวลาประมาณห้าโมงเย็นก็มีช่างแต่งตัวของคุณหญิงพร้อมกับช่างแต่งหน้าทำผม เข้ามาจัดการแปลงโฉมหล่อนอย่างที่คุณหญิงบอกกล่าวทุกประการ
เมื่อมีคนมาเลียบเคียงถามคุณหญิงการะเกดว่าสตรีสาวคราวลูกผู้ที่มางานกับคุณหญิงด้วยนั้นเป็นใคร คุณหญิงการะเกดก็ตอบอย่างฉาดฉานด้วยสีหน้าของแม่พระจนผู้คนรู้สึกเห็นใจคุณหญิงเป็นอย่างยิ่งว่า การะบุหนิงคือลูกสาวของคุณกษิดิษย์ พร้อมกับมีรำพันไปว่าหล่อนก็เพิ่งรู้เมื่อไม่มีกี่ปี เป็นลูกสาวที่เกิดก่อนหล่อนจะแต่งงานกับอีกฝ่าย และคุณกษิดิษย์เลิกรากับฝ่ายหญิงไปนานแล้วเช่นกัน ส่วนลูกสาวก็คือการะบุหนิงนั้นไปอยู่กับมารดาที่ต่างจังหวัด พอแม่เด็กตาย หล่อนสงสารจึงเรียกตัวให้มาอยู่ด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรก็ลูกของกษิดิษย์ และที่พามางานนี้ด้วยก็เพราะอยากให้เด็กได้มาเปิดหูเปิดตา ถ้อยคำพูดนี้ของคุณหญิงเรียกความเห็นใจของผู้คนได้อีกโข
ทว่า...คนฟังเช่นกระบุหนิงที่ต้องฟังคำแนะนำตัวหล่อนสวยหรูและถ้อยคำทักทายอ่อนหวานแต่เคลือบร่องรอยอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม หรือไม่ก็รอยเยาะหยันของหลายคนที่พอรู้ระแคะระคายว่าอะไรเป็นอะไรนั้นก็ทำให้หล่อนหน้าร้อนผ่าวและวางท่าไม่ถูก จึงเลือกที่จะเอาแต่ยิ้มและวางหน้าเฉยเหมือนไม่ได้ยินอะไรเท่านั้น
อยู่ในงานได้สักพัก บุคคลที่เป็นจุดมุ่งหมายอันแท้จริงในการมางานครั้งนี้ของหล่อนก็ไม่ปรากฏตัวเสียที หรือที่จริงเขาอาจจะมาแต่ในเมื่อคุณหญิงการะเกดไม่แนะนำการะบุหนิงก็ไม่มีวันรู้ว่าเป็นใคร ทว่าเมื่อฟังชื่อว่าผู้ชายคนนั้นนามสกุลแมคไกวร์ หล่อนก็ได้แต่พยายามกวาดตามองคนที่มีเค้าลักษณะของคนต่างชาติเต็มตัว แต่อย่าว่าแต่หัวสีทองเลย ขนาดหัวสีดำๆ ก็ไม่เห็นเลยว่าจะมีคนต่างชาติโผล่มาในงานนี้
เพราะมัวแต่ครุ่นคิดกับตนเอง ขณะที่เหม่อมองไปรอบๆ กายด้วยความเบื่อหน่าย บางครั้งเมื่อเบื่อมากๆ หญิงสาวก็จะเหลือบตามอง
แชนเดอเรียคริสตัลแวววาวที่อยู่กลางห้องบอลลูมขนาดใหญ่ของโรงแรมเดอ มาเรียน่าแห่งนี้ แสงของมันสะท้อนไฟดูวับวาว ผู้คนภายในงานล้วนแต่แต่งกายหรูหรา ทว่ายามเมื่อผู้คนเหล่านั้นหันหลังเดินจากไปจากวงสนทนานั้น หลายครั้งที่หล่อนบังเอิญได้ยินเสียง ‘นินทา’ บุคคลเหล่านั้นทันที จนการะบุหนิงที่ได้ยินถึงกับอ่อนใจและสังเวชใจกับเหล่าผู้คนที่กำลังสวมหน้ากากแห่งสังคม นั่นทำให้หญิงสาวถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่าย...นึกอยากเดินหนีออกไปจากห้องบอลลูมแห่งนี้ หนีไปให้ไกลจากผู้คนที่รายล้อม ผู้คนที่มีแต่หน้ากากจอมปลอม ผู้คนที่พอลับหลังหล่อนไปเพียงสามก้าวก็พร้อมที่จะหันหลังไปซุบซิบนินทากันทันทีถึงตัวหล่อนและครอบครัวของหล่อน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเธอว่าคุณหญิงการะเกดจะยังกล้ามาออกงานนี้อีก แล้วดูสิ คิดอย่างไรก็ไม่รู้ถึงลากเอาลูกสาวคนโตของคุณกษิดิษย์อย่างดอกแก้วมาออกงานด้วย แล้วไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดๆ นี่จริงหรือเปล่านะเธอ? ไม่น่าเชื่อเนอะว่าจะใจดีเสียขนาดกล้ารับเอาลูกเลี้ยงมาเลี้ยงในบ้าน”
“ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้มากกว่าว่าจริงหรือเปล่าที่เขาว่ากันว่ายายคุณหญิงนี่กำลังจะล้มละลาย”
“แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์จ้า”
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ”
หญิงสาวอีกคนพึมพำอย่างเสียดาย แต่หญิงสาวคนแรกซึ่งป็นฝ่ายเอ่ยปากถึงเรื่องนี้ก่อนกลับหัวเราะคิกคัก แล้วฟาดมือตีลงบนท่อนแขนเพื่อนของตนเองเบาๆ น้ำเสียงเจ้าตัวบ่งบอกถึงความรู้สึกสะใจนักในยามที่เอ่ยว่า
“ถึงไม่น่าเชื่อแต่ก็คือเรื่องจริงนี่เธอ อย่างนี้แหละเขาถึงว่าช้างล้มย่อมเสียงดัง แต่จากใจจริงนะเธอฉันอดสะใจไม่ได้ อยากเห็นคนตระกูลนี้ล่มจมเสียบ้าง ไม่ใช่อะไรหรอก ฉันล่ะอยากจะเห็นคนอย่างยัยกาสะลองล้มเสียบ้าง หึ!”
หล่อนถอนใจยาว ก่อนจะค่อยๆ ปลีกตัวหนีจากเสียงซุบซิบนินทาชนิดเผาขนนั้น หล่อนทั้งเเหนื่อยหน่ายและหนักใจ ไอ้ครั้นจะให้เข้าไปบู๊แหลกต่อว่าคนพวกนี้...นั่นก็ไม่ใช่นิสัยของหล่อน แล้วที่สำคัญ...ใช่ว่าคนพวกนี้จะไม่ได้พูดเรื่องจริง
หล่อนรู้ดี ณ เวลานี้ ตระกูลอันเก่าแก่มั่งคั่งอย่าง ‘พีระนันท์’ กำลังกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว...
ทว่าเมื่อปลีกตัวหนีไปหยุดยืนอยู่มุมอับของงาน การะบุหนิงก็รู้สึกเหมือนเย็นแผ่นหลังเปลือยสวยเพราะชุดที่คุณหญิงเลือกให้นั้น ไม่ใช่เพราะอากาศ ทว่าเพราะสายตาของ ‘ใครบางคน’ ต่างหาก
เมื่อหันกลับไป หล่อนเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างรับกับเอวสอบเพรียว ชุดทักซิโด้พอดีตัวของเขาแนบไปกับลำตัวส่งผลให้คนสวมใส่ดูดียิ่งกว่านายแบบบนหน้านิตยสารด้วยซ้ำ แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าดวงตาสีเทาคมกริบคู่นั้นที่กวาดไปทั่วร่างหล่อนทำให้การะบุหนิงรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ