ไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ซานเซินจะเคยได้ลิ้มลองเนื้อบ้างหรือไม่ รูปร่างของซานเซินมีเพียงเยี่ยนอิงและเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่จะมองออก
นางจึงได้รู้ว่า น้องชายของนางยามนี้ ความสูงของเขาเพิ่มจากเดิมไม่น้อยแล้ว ไหนจะแก้มที่แดงระเรื่อเช่นคนสุขภาพดี ต่อจากนี้เพียงขุนเขาให้มีเนื้อเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้จะน่าเอ็นดูเพียงใด
เยี่ยนอิงและซานเซินกำลังกินอาหารเย็น เรือนตระกูลตู้ก็กินเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ลองชิมอาหารฝีมือของเยี่ยนอิง อาหารที่ป้าตู้และลูกสะใภ้นางทำไว้ก็แทบจะไม่พร่องลงเลย
“ข้าเพิ่งรู้ว่าอิงเออร์นางมีฝีมือมากเพียงนี้” ลุงตู้เลียริมฝีปาก เขาอยากจะกินอาหารของเยี่ยนอิงอีก
“จริงขอรับท่านพ่อ เช่นนี้อิงเออร์ นางเปิดเหลาอาหารได้เลย” บุตรชายของลุงตู้เอ่ยออกมาอีกคน
“พวกท่านแย่งข้ากินหมดเลย ข้าอุตส่าห์หน้าหนาไปขอพี่อิงมา” อาเหมยนั่งหน้าบูดเมื่อนางคีบอาหารไม่ทันคนอื่น
“หากเจ้าชอบฝีมือของพี่อิงของเจ้า อาเหมยเจ้าไปขอให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าดีหรือไม่” กวนซื่อ ลูกสะใภ้ของป้าตู้เอ่ยบอกบุตรสาว
“จริงด้วย พี่เฉียว ท่านไปสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเลยเจ้าค่ะ” อาเหมยหันไปหาพี่ชายของนาง
“เจ้าพูดอันใดของเจ้า อย่าได้พูดเช่นนี้ให้ผู้ใดได้ยิน อิงเออร์นางจะเสียหายได้” ตู้เฉียวร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา อายุของเขายามนี้สิบแปดหนาวแล้ว
เขาไม่เคยสนใจเยี่ยนอิงมาก่อน ด้วยเมื่อก่อนนางถูกใช้แรงงานอย่างหนัก รูปร่างที่ผอมแห้งของนาง ทั้งนางยังมักหลบสายตาของผู้คน ทำให้เขาไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา
“พอๆ อิงเออร์ นางก็ไม่สนใจพี่ชายของเจ้าหรอกอาเหมย แล้วอย่าได้ไปพูดกับนางเช่นนี้เล่า ต่อไปนางจะไม่แบ่งอาหารให้เจ้ากิน ทั้งยังจะไม่ให้เจ้าเข้าเรือนด้วย” ป้าตู้โบกมือห้ามหลานสองคนที่กำลังถกเถียงกันอยู่
เยี่ยนอิงในตอนนี้ นิสัยของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย นางทั้งฉลาดและยังร่ำรวยจนเรียกได้ว่าเงินที่นางมีใช้ชาตินี้ก็ยังไม่หมด ความต้องการของนางก็ดูเหมือนจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่ในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้นางจะมาสนใจหลานชายของตนได้อย่างไร
เยี่ยนอิงมองชามอาหารตรงหน้าที่ยามนี้แทบไม่เหลือสิ่งใดอยู่ ทั้งหมดลงไปอยู่ในท้องของซานเซินและเสี่ยวไป๋หมดแล้ว
“ข้าจะไปล้างชามก่อน เซินเออร์เจ้าเข้าไปปูที่นอนเองได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ” เขาพยักหน้ารับ
“นายหญิง ท่านกับนายน้อยเข้าไปพักในมิติไม่ดีกว่ารึขอรับ”
“แล้วหากมีคนมาที่เรือนเล่า หายไปกันหมดเช่นนี้จะทำอย่างไร”
“หากมีคนมาที่เรือน ท่านและข้าล้วนแต่รับรู้ได้ทันที อย่างไรก็ออกมาได้ทันขอรับ”
“เช่นนั้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ต้องปูที่นอนไว้” นางหันไปบอกซานเซิน แล้วจึงนำชามเข้าไปล้างในครัว จะได้รีบออกมาช่วยน้องชายปูที่นอนห้องของนางและของซานเซิน
ทั้งสามจัดการเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนจะพากันเข้าไปอยู่ภายในมิติ ซานเซินดูจะตื่นเต้นกับห้องนอนใหม่ของเขาและห้องน้ำที่มีอยู่ด้านในไม่น้อย
“เสื้อผ้าพวกนี้ เจ้าเก็บไว้ในมิติเถิด ด้านนอกใส่เพียงชุดที่ป้าตู้นางซื้อให้ก็พอ” เยี่ยนอิงส่งเสื้อผ้าที่นางซื้อมาให้ซานเซินให้เขานำไปเก็บในห้อง
“ขอบคุณขอรับท่านพี่” มือน้อยๆ ของเขาสั่นเทาเมื่อได้รับชุดผ้าไหมเนื้อดี เป็นครั้งแรกของซานเซินเลยที่ได้สัมผัสผ้าดีเช่นนี้
“ต่อไป พี่จะซื้อให้เจ้าใส่สีไม่ซ้ำวันกันเลยดีหรือไม่” นางลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องขอรับ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนอิงอย่างขอบคุณ
“นายหญิง นายน้อย หากพวกท่านนำของเข้าไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็ไปที่ห้องตำราด้วยขอรับ”
“ห้องตำรา เหตุใดข้าต้องไปที่ห้องตำรา” เยี่ยนอิงหันไปมองเสี่ยวไป๋อย่างไม่เข้าใจ
“นายน้อยควรหัดคัดตัวอักษร เพื่อเตรียมเข้าสำนักศึกษา ตัวท่านในเมื่อเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้ว ก็ควรจะเดินลมปราณ เพื่อเข้าสู่การฝึกตนเสียทีขอรับ”
“ฝึกตนเช่นนั้นรึ คือสิ่งใดกัน” นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ทั้งจากความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างเหมือนว่าก็ไม่รู้เรื่องการฝึกตนเช่นกัน
“การฝึกตน เพื่อให้ท่านเข้าสู่หนทางของการเป็นเซียน ท่านจะต้องฝึกเดินลมปราณ เพื่อขยายเส้นลมปราณให้พร้อมสำหรับการเลื่อนขั้นแต่ละระดับ”
“อธิบายง่ายๆ ได้หรือไม่” อย่างไรนางก็ฟังไม่ออก
“เพื่อทำให้ท่านเก่งเหนือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวรยุทธ์ พลังปราณมีส่งออกมาจะรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตน หากท่านบรรลุไปถึงขั้นเทพเซียนได้ ท่านจะอยู่ได้นานนับพันปี”
“มากไป ข้ามีเหตุผลใดที่จะอยู่นานเพียงนั้น” ที่นี่ไม่เหมือนโลกก่อนของนาง
ที่นางทั้งมีเงินทอง มีอำนาจ ความเป็นอยู่ก็แสนจะสุขสบาย หากมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณนับพันปี กว่านางจะทนรอถึงพันปี เพื่อจะได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ นางคงได้เบื่อก่อนแน่
ซานเซินฟังสิ่งที่ทั้งสองโต้ตอบกันก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ตัวเขาเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูดถึงเป็นครั้งแรกเช่นกัน
“มิใช่ว่าท่านจะอยู่ได้ถึงพันปีในโลกมนุษย์เสียเมื่อไหร่ ท่านจะต้องไปอยู่ในดินแดนของเทพเซียนต่างหากเล่า” เสี่ยวไป๋ปรายตามองเยี่ยนอิงอย่างดูแคลน
“หื้ม...ไม่ต้องทำความดีก็ได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ข้าเข้าใจถูกหรือไม่”
“ก็ไม่ถึงกับอยู่บนสวรรค์ แต่มีดินแดนแยกสำหรับของผู้เป็นเทพเซียนอีกแห่ง มีเพียงผู้ฝึกตนเท่านั้นที่จะสามารถอยู่ได้”
“แล้วไม่ต้องแกร่งแย่งชิงดีกันอีกรึ” เยี่ยนอิงกอดอกมองเสี่ยวไป๋ นางเบื่อเรื่องการแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันแล้ว
“ไม่ขอรับ ผู้ฝึกตนส่วนมากต่างเร้นกายอยู่ในที่ของตน จะมีเพียงไม่กี่คนที่นึกสนุกลงมาสร้างเรื่องในโลกมนุษย์”
“เอาเถิด หากเจ้าว่าดีข้าก็จะฝึก เพียงแต่ไม่รับรองว่าจะมีความอดทนจนฝึกไปถึงขั้นเทพเซียนหรือไม่” นางหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าเองก็อยากฝึกขอรับ” ซานเซินเดินเข้ามาดึงแขนเสื้อของเยี่ยนอิงไว้แน่น
“นายน้อย ท่านเองก็ต้องฝึกเช่นกัน เพียงแต่ต้องรอให้ถึงสิบสามหนาวก่อน ร่างกายของท่านต้องเติบโตมากกว่านี้เสียหน่อย”
“ใช่แล้วเซินเออร์ ยามนี้เจ้าควรจะสนใจเรื่องอ่านตำรากับคัดอักษรก่อน ข้าอยากจะให้เจ้าเข้าสำนักศึกษา” เยี่ยนอิงลูบหัวน้องชายเบาๆ
“เข้าใจแล้วขอรับ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เยี่ยนอิงและซานเซินแยกตัวไปที่ห้องของตน เพื่อนำของไปเก็บด้านใน ส่วนเสี่ยวไป๋เดินไปรอทั้งสองที่ห้องตำราแล้ว
ภายในห้องตำรา นอกจากจะมีตำราวางเรียงรายอยู่บนชั้นนับพันเล่มแล้ว ยังมีโต๊ะอยู่ตรงมุมห้อง เพื่อให้นั่งสำหรับอ่านตำรา คัดตัวอักษรด้วย
บนโต๊ะมีพู่กันด้ามงาม แท่นหมึกและกระดาษวางไว้พร้อม เสี่ยวไป๋ยังเป็นผู้ที่เลือกตำราออกมาวางไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ซานเซินหัดคัดตามตัวอักษรด้านใน
"ของข้ารึ” ซานเซินลูบคลำกระดาษและพู่กัน
เมื่อก่อนเขาเคยเห็น อู๋ซวง บุตรชายของลุงใหญ่ มักจะนำกระดาษออกมานั่งคัดตัวอักษรที่ชานเรือน เขาก็หวังว่าสักวันตนจะได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นกัน
“ใช่แล้วขอรับ เป็นของนายน้อย ข้าน้อยเตรียมไว้ให้ท่าน” เสี่ยวไป๋ชี้ไปตรงตำแหน่งที่เก็บกระดาษและแท่งหมึกไว้ หากหมดซานเซินสามารถมาหยิบใช้ได้ตลอด
“ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวไป๋” ซานเซินพุ่งตัวเข้าสวมกอดเสี่ยวไป๋ไว้แน่น แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่โอบต้นขาของมันไว้เท่านั้น
“แล้วข้า ต้องทำเช่นใด” เยี่ยนอิงเอ่ยถามออกมา
“นายหญิง ท่านต้องเดินลมปราณ เพื่อปรับพลังชี่ในร่างกายก่อนขอรับ”