(ปลาเก๋า)
พรึ่บ!
ร่างบางพลิกตัวหันตะแคงข้างทำให้หันหน้าไปทางโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่มุมห้อง ทำให้เห็นเข้ากับถุงขนมถุงใหญ่ที่พึ่งไปซื้อมา ไปซื้อขนมมาตั้งเยอะแยะสุดท้ายมาอิ่มเพราะนมร้อน 2 ถุง พอหนังท้องตึงก็เริ่มง่วงแล้วสิ ถ้านอนแล้วฉันจะยังฝันอะไรแปลก ๆ อีกไหม ไม่รู้คำตอบจนกว่าจะลองนอนดู
ถ้าไม่ฝันนั่นก็เท่ากับว่าฉันไม่เก็บมาใส่ใจแล้ว...
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
แต่แล้วเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นเรียกความสนใจของฉันให้หันมองไป ร่างเล็กขยับลุกขึ้นนั่งใช้มือยันกับเตียงดันตัวขึ้นนั่ง เท้าทั้งสองค่อย ๆ หย่อนลงแตะกับพื้นเต็มฝ่าเท้า แล้วพาตัวยืนขึ้นเดินตรงไปเปิดประตูโดยไม่แม้แต่คิดจะถามว่าใครมาเคาะประตู
ในบ้านเวลานี้ก็มีแค่ฉัน เต๋าเต้ยและ...
กริ้ก!
“มีอะไรเหรอมาร์ติน” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย เงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่หลังบานประตูห้องนอน การขึ้นมาบนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไรอีกเช่นกัน บ่อยครั้งที่เขาค้างคืนที่นี่กับเต๋าเต้ย
“เราเอาโทรศัพท์ใส่ไว้ในถุงขนมตอนคิดเงิน มันน่าจะอยู่ในถุงของปลาเก๋า” มาร์ตินพูดถึงสาเหตุที่เขาขึ้นมาหาฉันในวันนี้ มาถึงห้องฉันก็วางเลยไม่ได้ดูด้วยว่าในนั้นมีอะไรแปลก ๆ หลงมาไหม
“เดี๋ยวเราช่วยหานะ” พูดจบก็ปล่อยมือจากประตู หมุนตัวเดินกลับมาเข้าในห้องตรงไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ซึ่งมีถุงขนมวางอยู่
ปึง! กริ้ก!
เสียงประตูห้องนอนปิดพร้อมลงกลอนล็อกเรียบร้อย แต่ฉันกลับไม่ได้ใส่ใจแล้วยังหาโทรศัพท์มาร์ตินต่อจนในที่สุดก็เจอ มันตกลงไปอยู่ใต้ถุงโดนขนมกลบจนมิด
“เจอแล้วมาร์...” จังหวะที่หันมาพร้อมสิ่งที่ตัวเองพึ่งหาเจอนั้นต้องหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า
“ที่ปลาเก๋าพูดถึงเรื่องทะเล...สรุปว่าเรื่องอะไร” ทำไมขุดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแล้วล่ะ
“ไม่มีอะไร มาร์ตินจำไม่ได้ก็ช่างมัน”
“เก๋ายังไม่ลองพูดออกมาเลย พูดแล้วเราอาจจะจำได้ก็ได้”
“เรื่องนั้นไม่มีใครเขาลืมได้หรอก” เสียงเล็กพึมพำกับตัวเอง ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เขายังสามารถลืมมันได้เลยนี่...
“เราไงลืม” มาร์ตินก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ สายตาของเราทั้งคู่จ้องมองกันและกัน
“โทรศัพท์เจอแล้ว เอาไปสิ” ฉันเปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าตาเฉย ยื่นของของเขาคืนไปให้แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับสิ่งนั้นไป
“....”
“ไม่เอาคืนเหรอ” แล้วทำไมเอาแต่จ้องหน้ากันแบบนั้นเล่า อย่ามาทำตัวแปลก ๆ พาให้นึกถึงเรื่องที่ทะเลได้ไหม!
“เราทำอะไรปลาเก๋าที่ทะเล”
“พูดไม่ได้หรอก” ฉันไม่กล้าพูดเรื่อง จะต้องใช้คำไหนล่ะ? อยู่ดี ๆ มาร์ตินก็ดึงฉันไปจูบ มาร์ตินจูบฉัน เราจูบกันแล้วยัง...ดูดคอด้วย! พูดได้เหรอ
“ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้ งั้นทำให้ดูก็ได้ว่าเราทำอะไรไปบ้าง” มาร์ตินไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แล้วฉันไม่น่าไปรื้อถามขึ้นมาเลย ทำให้เขาอยากรู้ยิ่งเข้าไปอีกสิแบบนี้
“แค่พูดยังไม่ได้เลย จะให้ทำ...ช่างมันเถอะ”
“แค่ทำให้เราดูเอง ก็แค่ทำ...พูดไม่ได้ก็แสดงให้ดู”
“ไม่มีอะไร นี่โทรศัพท์เอาไปสิ”
“....” สายตาของมาร์ตินที่มองมาเดาอารมณ์ไม่ได้เลย เขาไม่ยอมรับของคืนไปด้วยซ้ำเอาแต่ยืนนิ่งจ้องหน้าอยู่แบบนั้น
“มาร์ติน”
“....” ไม่ขยับตัว แต่มองหน้าเป็นการกดดันว่าเขาจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
“ก็ได้...วันนั้นที่มาร์ตินพาเราไปซื้อขนมใช่มั้ยแล้วทีนี้ขากลับ ที่มีคนมาขอเบอร์”
“ข้ามตรงนั้นได้เลยไม่ต้องพูดถึง” ยังไม่ทันพูดจบมาร์ตินก็แทรกตัดบทเข้ามา
“โอเค ระหว่างทางที่เราเดินกลับกันมาถึงซอกเล็ก ๆ ใกล้ริมหาด ที่มันมืด ๆ” ฉันอธิบายพร้อมทำมือ ชี้นกชี้ไม้บอกขนาดพื้นที่ที่เราเดินเข้าไป ส่วนมาร์ตินก็ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันพูด
“ทำไมเราต้องไปทางนั้น”
“มันเป็นทางกลับโรงแรมเราเดินไปด้วยกัน ทีนี้พอถึงตรงนั้นมาร์ตินก็ดึงเราเข้าไป”
“ดึงยังไง”
“แบบว่า...ดึงหันหน้าเข้าหา เราหันหน้าเข้าหากัน” ฉันวางโทรศัพท์ในมือลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ ทำมือไปพร้อมกันบอกเล่าเหตุการณ์ให้เขาได้เข้าใจ
“ไม่เข้าใจ ยังไงนะ?” มาร์ตินย้อนถามกลับทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด ปกติก็เป็นคนพูดไปเรื่อยคงอธิบายไม่เข้าใจสินะ
“แบบนี้ไง” มือทั้งสองยื่นไปจับแขนมาร์ตินแล้วขยับตัวเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าอีกฝ่าย
“....” มาร์ตินหลุบตามองลงมา ขยับตัวเคลื่อนไหวไปตามแรงดึงของฉันเล็กน้อย
“แล้วมาร์ตินก็ใช้มือโอบเอวเรา”
“แบบไหน”
“นี่ จับแบบนี้แล้วเข้าหาตัวเองไม่ทันให้เราตั้งตัวเลยด้วย ตรงนั้นก็ไม่มีใครมืดอีกต่างหาก” ปากก็พูดไป มือก็จับมือมาร์ตินมาโอบเอวตัวเองบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
“ท่านี้แสดงว่าเราดึงเก๋ามาจูบ”
“ไม่ได้แค่จูบสิ ดูดคอ...เอ่อ” ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบสายตาที่มองมา ปากที่กำลังพูดต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกได้ว่าตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก เหมือนวันนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
“เราจูบเก๋า แล้วก็...”
“ชะ ช่างมัน เราไม่ได้ว่าอะไร...มาร์ติน” แขนที่โอบเอวฉันอยู่นั้นออกแรงดึงชิดเข้าหาตัว แรงที่มากกว่าทำให้ฉันเคลื่อนไหวตามแรงของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“อธิบายให้จบ เราจูบใช่มั้ย”
“....” ริมฝีปากบางเม้มแน่น หันหน้าหลบอีกฝ่ายพยายามใช้มือแกะมือมาร์ตินออก
“เราจูบกัน แล้วเราก็ดูดคอเก๋า” ใช่ นั่นแหละที่เราทำกัน...
“อย่าพูดนะ ห้ามพูดออกไปนะ” นิ้วชี้ยกขึ้นทาบปากของตัวเอง เป็นสัญญาณเตือนว่าไม่ต้องการให้เขาพูดออกมาอีก
“แล้วสรุปว่าเรา...”
กึก! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
แต่แล้วจู่ ๆ เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้นขัดจังหวะเรียกความสนใจฉันหันไปมองทางประตู และเป็นจังหวะเดียวกันที่รับรู้ถึงสัมผัสร้อนที่ทาบทับลงข้างต้นคอ ออกแรงขบเม้มเบา ๆ ก่อนผละออก โดยไม่ลืมที่จะหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองติดมือไปด้วย
“มะ มาร์ติน” เสียงเล็กพึมพำแผ่วเบา จ้องมองร่างสูงที่เดินไปทางประตูแล้วเปิดมันออก
กริ้ก!
ประตูห้องนอนเปิดกว้างออกทำให้เห็นบุคคลที่มาเคาะประตูห้องนั่นคือ เต๋าเต้ย
“มึงเจอโทรศัพท์มั้ย” เต๋าเต้ยถามเพื่อนก่อนจะมองข้ามไหล่มาร์ตินมายังฉัน ทำอะไรไม่ถูกทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ ต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พึ่งเจอ บอลถึงไหนละ” มาร์ตินเปลี่ยนเรื่องคุยกับเต๋าเต้ย พร้อมพาตัวเองเดินออกไปและดึงประตูห้องปิด
“เหลือครึ่งหลัง”
กริ้ก!
และทันทีที่ประตูห้องนอนของฉันปิดลง ก็รีบพาตัวเองวิ่งไปหน้ากระจกบานใหญ่ เอียงคอฝั่งข้างที่มาร์ตินทำอะไรไปเมื่อครู่นี้ มีเพียงรอยแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนผิวขาว แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง
อย่าบอกนะว่าเขาเมาอีก...เขาดื่มกับเต๋าเต้ยก่อนขึ้นมาหรือเปล่า?