(วันต่อมา)
ตึก ตึก ตึก
“ทำไมสภาพหน้าเป็นแบบนั้น”
เต๋าเต้ยเอ่ยทักขึ้นเมื่อหันมาสบตากับบุคคลที่กำลังเดินลงบันไดมาด้วยสภาพของคนไม่ได้นอน เมื่อคืนมาร์ตินไม่ได้ค้างที่บ้านฉันเขากลับไปตอนตี 1 กว่า ทำไมถึงรู้น่ะเหรอ...ก็นอนไม่หลับเลยมานั่งเล่นริมหน้าต่างก็เห็นเขาขับรถออกไปพอดีน่ะสิ แล้วยิ่งเห็นมาร์ตินก็ยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่จนในที่สุดก็เช้า จนมาอยู่ในสภาพเหมือนไม่ใช่คนแบบนี้
ยังดีนะที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เดี๋ยวค่อยไปนอนตอนบ่ายเอาก็ได้
“นอนไม่หลับ” คำตอบของฉันทำให้ ‘ป้าเตือน’ แม่บ้านที่กำลังเดินออกมาจากห้องครัวหันมามองด้วยความเป็นห่วง ในขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ วางชามโจ๊กลงบนโต๊ะอาหารก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา
“ไม่สบายหรือเปล่าหนูเก๋า แล้วอาทิตย์ก่อนหนูก็นอนไม่ค่อยหลับมาตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น ไปหาหมอมั้ย” เรื่องนี้ฉันมีบ่น ๆ ให้คนรอบตัวฟังอยู่บ้าง ทุกคนคงคิดว่าดีขึ้นแล้วแต่ว่ามันไม่ใช่เลย
“เออ ไปหาหมอมั้ยเดี๋ยวพาไป เป็นอะไรเกี่ยวกับจิตหรือเปล่ายิ่งไม่ปกติอยู่” เต๋าเต้ยพูดเหมือนเป็นห่วงแต่สายตาและความสนใจของมันคือโจ๊กตรงหน้า แล้วคำพูดแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงวะเนี่ย!
“ไม่ ความจริงหนูแค่ดูซีรีต์ค่ะ...ดูหนังเยอะ” ข้ออ้างทั้งนั้น ฉันใช่พวกที่ชอบดูหนังซะที่ไหน วัน ๆ รับหนังโป๊จากโป๊ยเซียนก็ปวดหัวมากพอละ ขยันส่งเหลือเกิน
“เราต้องนอนให้เพียงพอด้วย ดูสิเดี๋ยวแก้มป่อง ๆ นี่มันจะหายไป” ป้าเตือนยกมือขึ้นบีบแก้มฉันด้วยความเอ็นดู แล้วจูงมือพาเดินไปยังโต๊ะอาหารตรงจุดที่ชามโจ๊กของตัวเองตั้งอยู่
“ขอบคุณค่ะ” มือทั้งสองยกขึ้นประกบกันไหว้เป็นการขอบคุณที่ป้าเตือนเตรียมมื้อเช้าให้
“ไม่อิ่มมีอีกนะเติมได้ เรียกป้าเดี๋ยวเอามาให้” พูดจบป้าเตือนก็เดินกลับไปยังห้องครัวทำงานของตัวเองต่อ ตอนนี้จึงมีแค่ฉันกับเต๋าเต้ยที่นั่งกินข้าวเช้ากันอย่างเงียบ ๆ
“เมื่อวานมาร์ตินขึ้นไปหาอะไรนะ” และจู่ ๆ เต๋าเต้ยก็เปิดปากเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา มือที่กำลังตักเครื่องปรุงอยู่ต้องพยายามควบคุมไม่ให้แสดงอาการตกใจอะไรออกมา สายตาของฉันมองที่ชามโจ๊ก สีหน้าเป็นปกติไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจแต่อย่างใด ทั้งที่ความจริงแล้ว...
พูดถึงเขาขึ้นมาทำไมอีกวะเนี่ยไอ้เต๋า!
“โทรศัพท์”
“แค่นั้น?”
“อือ ทำไม” ย้อนถามจบก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเต๋าเต้ย ข้องใจมากทำไมไม่ถามเพื่อนตัวเองล่ะ แต่ถ้าไปถามมาร์ตินคนอย่างเขาไม่มีทางทำอะไรแปลก ๆ ออกมาแน่ ซึ่งต่างกับฉันที่สติไม่ค่อยจะมีเท่าไร วันดีคืนดีก็อาจจะเจอเดินคุยคนเดียวอยู่บ้าง
“เปล่า”
“พรุ่งนี้ไม่มีเรียนใช่มั้ย” รีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่ไอ้เต๋าจะสงสัยอะไรไปมากกว่านี้
“อือ จะให้ไปส่งมั้ย”
“ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวไปเอง ไม่ต้องมาแสดงเหมือนดูแลดีหรอก” ให้ไอ้เต๋าไปส่งในวันที่มันไม่มีเรียนฉันเคยพบเจอประสบการณ์นั้นมาแล้ว
พ่อท่านเล่นบ่นตั้งแต่ที่ไปปลุกยันไปส่ง แล้วไปทั้งสภาพไม่อาบน้ำ ปากพูดกับพ่อแม่ว่าจะไปส่ง จะดูแลอย่างดีเหมือนเราเป็นพี่น้องที่รักกัน ไอ้เต๋าทำเพราะไม่อยากให้ไปฟ้องแม่ก็แค่นั้นแหละ แต่เอาเข้าจริงใครจะรู้ว่าฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง!
“โอเค จะได้นอนยาว แล้วพรุ่งนี้ตอนเย็นไม่อยู่นะ”
“เรื่องของพ่อเลยค่า ~” จะไปไหนก็เชิญเลยจ้า! ไอ้เต๋าไม่อยู่บ้านเผื่อว่าฉันจะได้ไม่ต้องเจอเพื่อนเขา ไม่เจอจะได้ไม่ต้องคิดมากนอนไม่หลับอยู่แบบนี้!
(วันต่อมา)
ณ หน้ามหาวิทยาลัย เวลา 09.15 น.
“น้ำแดงโซดาได้แล้วจ้า สี่สิบบาท”
“นี่ค่ะ”
ธนบัตรสีเขียวสองใบยื่นไปให้พร้อมรับเอาของที่ตัวเองสั่งซื้อไว้มาถือ เช้า ๆ แบบนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีน้ำตาลเข้าในร่างกาย ร้านน้ำเจ้าประจำหน้ามหาวิทยาลัยคือที่สุด ~
หลอดถูกแกะออกจากห่อปักลงแก้วแล้วยกขึ้นดูด ในจังหวะที่หมุนตัวหันกลับมาเพื่อเดินเข้ามหา’ ลัย ก็มีรถ Audi R8 สีแดงโดดเด่นขับเข้ามาจอดเทียบข้างฟุตบาทท่ามกลางสายตามากมายที่มองมา แต่ฉันไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลือกที่จะเดินตรงไปข้างหน้าจนถูกรถคันนั้นบีบแตรส่งสัญญาณเรียก ให้เท้าที่กำลังเดินต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ หันไปมองยังรถที่เคลื่อนตัวเทียบข้างตามมาช้า ๆ
ปี๊น!
เรียกใคร? แล้วรถใคร? จะว่าไปก็คุ้น ๆ อยู่นะ...
ครืด!
ความสงสัยของตัวเองเกิดขึ้นในหัวได้ไม่นานก็ได้รับการเฉลยเมื่อกระจกรถมืดสนิทของรถตรงหน้าค่อย ๆ เลื่อนเปิดลง ทำให้ได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของรถ
“ขึ้นรถสิ” มาร์ติน...
“เดี๋ยวเราเดินไปได้แค่นี้เอง” ทำไมมาเจอกันแต่เช้าเลยล่ะเนี่ย!
“ไกลอยู่นะกว่าจะเดินไปในถึงในมอ”
“....” มันไม่ได้ไกลอะไรมากมายแต่ถ้าเทียบกับการนั่งรถก็สามารถประหยัดเวลาไปได้เยอะกว่า
ปี๊น!
“ขึ้นรถเร็ว” เสียงเตือนจากรถคันหลังที่จ่อต่อท้ายเข้ามาทำให้มาร์ตินเร่งให้ฉันขึ้นเขาอีกครั้ง
ปึก!
ฉันเปิดประตูรถของมาร์ตินออกรีบพาตัวเองขึ้นไปนั่งก่อนดึงประตูปิดลง
ถูกกดดันมาขนาดนี้ก็ต้องขึ้น พยายามทำตัวให้เป็นปกติไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นทำตัวให้เหมือนกับเขา แล้วการขึ้นรถมาร์ตินเข้าไปในมหา’ ลัยตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตาอีกนั่นแหละ เพราะเกาะท้ายรถมาร์ตินไปอยู่บ่อย ๆ ทิศเหนือยังไม่ใส่ใจเวลาฉันลงจากรถของเขาเลย ยังไงมันก็เป็นภาพชินตา
“จอดตรงหน้าตึกคณะก็พอนะ” คำขอของฉันไม่รู้จะเข้าหูเขาไหม แต่ดูแล้วน่าจะไม่เพราะมาร์ตินขับผ่านตึกตรงไปยังอาคารจอดรถของมหาวิทยาลัยหน้าตาเฉย
“....” บรรยากาศภายในรถเย็นเฉียบ มีเพียงเสียงเพลงคลอเคล้าไปตลอดทาง
“กลัวไม่มีเพื่อนเดินลงตึกจอดรถเหรอ” พูดจบก็ยกแก้วน้ำในมือขึ้นดูด หันมองออกไปนอกกระจกพยายามไม่สนใจมาร์ติน
“อือ” พอไม่ได้เป็นการออกคำสั่งอีกฝ่ายก็ยอมตอบกลับอะไรมาบ้าง ฉันควรทำอะไรสักอย่างไหม ควรพูดกับมาร์ตินไปตรง ๆ มั้ยว่าเขาแปลกไปมากแค่ไหน?
“รู้มั้ยว่าการทำแบบนี้มันไม่ดี” ในที่สุดก็สามารถรวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไปในที่สุด ตั้งแต่เรื่องที่ทะเลแล้วก็มาเรื่องเมื่อวาน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่างอยู่ในเดือนเดียวกัน
“ที่ไม่จอดรถหน้าตึกคณะน่ะเหรอ” มาร์ตินกลับย้อนถามด้วยน้ำเสียงปกติ สายตามองตรงไปยังเบื้องหน้าในขณะที่รถกำลังวนขึ้นอาคาร
“ไม่ใช่ ที่มาร์ตินเป็นแบบนี้...เรื่องเมื่อคืนอย่าทำอีกนะ” ฉันจะสามารถทำให้เขาเชื่อได้สักนิดไหม ประโยคหลังพูดเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ ปกติพูดเก่งพูดไม่หยุดปากพอมาตอนนี้กลับไม่กล้าพูด
“พูดอะไรไม่ได้ยิน” เสียงทุ้มนุ่มย้อนถามกลับในระหว่างที่เขากำลังให้ความสนใจกับการถอยหลังเอารถเข้าช่องจอด
“เรื่องเมื่อคืนอย่าทำอีก” ครั้งพูดเสียงดังขึ้นมานิดหน่อย ก้มหน้ามองแก้วน้ำแดงในมือของตัวเอง สายตาลอบมองไปยังกระจกข้างเพื่อรอให้เขาจอดรถนิ่งสนิทก่อนจะได้พาตัวเองลงไป
“ไม่ได้ยิน” พูดอะไรไปเขาก็ยังไม่ได้ยิน ต้องให้เสียงดังมากแค่ไหน
“เรื่องเมื่อคืนอย่าทำ...อึก” ปากเล็กที่ขยับพูดอยู่นั้นต้องหยุดชะงักเมื่อฉันหันหน้าไปทางเขา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้ วางมือจับพนักเบาะโน้มหน้าเข้าหา
“แต่ทำเหมือนตอนอยู่ที่ทะเลได้ใช่มั้ย”
สิ้นเสียงริมฝีปากของมาร์ตินก็ประกบจูบทาบทับลงมา เขาไม่เปิดโอกาสแม้แต่เสี้ยววินาทีให้ฉันได้ตอบกลับเลยด้วยซ้ำ