โลกกลมเหลือเกิน...1

960 Words
ทุกครั้งที่กะพริบตา ภาพเหล่านั้นก็เหมือนถูกฉายซ้ำอยู่ในหัว ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาบนแก้มทีละน้อย ทั้งเขินอาย ทั้งสับสน “นี่เราทำอะไรลงไปกันแน่…” เธอตั้งคำถามกับตัวเองไม่รู้กี่รอบ มือที่จับปากกาสั่นเล็กน้อย จนลายเส้นที่เขียนในสมุดขาดๆ หายๆ ไม่มีความหมายอะไร ออมสินที่นั่งข้างๆ เห็นเพื่อนเหม่อลอยบ่อยครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ แต่เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่อยากคาดคั้นตรงๆ เพราะดูจากสภาพของเฌอปรางแล้ว เธอน่าจะยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งเสียงกริ่งบอกเลิกคาบดังขึ้น เฌอปรางก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่รู้ตัวเลยว่าชั่วโมงเรียนผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เพื่อนๆ พากันเก็บของออกจากห้อง แต่เธอกลับนั่งเหม่อเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง “ปราง...” ออมสินแตะไหล่เรียกเบาๆ “วันนี้แกไม่เหมือนเดิมเลยจริงๆ นะ แกโอเคแน่ใช่มั้ย” เฌอปรางเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ ที่ไม่สามารถปิดบังความอ่อนล้าและความสับสนในแววตาได้เลย เธอไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ เพียงแค่พยักหน้า แล้วรีบเก็บของใส่กระเป๋าเหมือนอยากหนีออกไปให้พ้นจากสายตาเพื่อน หัวใจเธอยังว้าวุ่นไม่หยุด และสิ่งที่น่ากลัวก็คือ...เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์กับวาโยที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันจะนำพาไปสู่ตรงไหนกันแน่ เฌอปรางขับรถกลับบ้านด้วยสภาพจิตใจที่เลื่อนลอย แล้วตอนนี้เธอก็มาถึงที่บ้านจนได้ เธอวางกระเป๋าลงที่โต๊ะในสวน ก่อนที่เธอจะเดินไปเรื่อยๆ ในสวนขนาดใหญ่ของบ้าน โดยไม่มีจุดหมาย เสียงลมพัดผ่านใบไม้ในสวนหน้าบ้านดัง ซู่ซ่า เฌอปรางเดินไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีเหนื่อยล้า มือสองข้างกอดอกเหมือนคนกำลังพยายามเก็บกักอารมณ์บางอย่างไว้ในใจ วันนี้ทั้งวันสำหรับเธอเหมือนฝันร้ายที่ตื่นไม่ขึ้น การเรียนที่ไม่เข้าหัว เพื่อนที่คอยมองด้วยสายตาสงสัย และความทรงจำเมื่อคืนที่ยังวนเวียนไม่หยุด...มันทำให้เธออยากหลบหนีจากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แล้วโชคชะตาหรือคำสาปบางอย่าง ก็เหมือนเล่นตลกกับเธออีกครั้ง เสียงใบไม้ปลิวตามแรงลมในสวนยามเย็น ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายสำหรับคนทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับเฌอปราง เธอกำลังเดินเล่น พลางเตะก้อนกรวดเล็กๆ ระบายอารมณ์หลังเลิกเรียนอย่างเซ็งๆ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง “อ้าว... นี่มันคุณนักศึกษาเซื่องซึมนี่นา” เสียงทุ้มกวนๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง เฌอปรางชะงัก ก่อนหันไปเห็นวาโยที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นถึงศอก กางเกงสแลคเรียบกริบ มืออีกข้างถือกระเป๋าเอกสาร ดูยังไงก็น่าเชื่อถือ แต่สำหรับเธอ...แค่เห็นหน้าเขาก็เหมือนจะปวดหัว “ให้ตายสิ วันนี้มันวันซวยอะไรของฉัน ทำไมต้องเจอพี่ทั้งวันด้วยเนี่ย” เธอบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด วาโยเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “ทำไมล่ะ กลัวใจเต้นแรงหรือยังไง ถึงไม่อยากเห็นหน้าพี่นัก” “เพ้อเจ้อ! ใครจะไปอยากเห็นหน้าคนปากเสียแบบพี่ล่ะ” เฌอปรางเชิดหน้า เธอพยายามจะเดินผ่าน แต่เขากลับข้ามพุ่มไม้ซึ่งเป็นรั้วเตี้ยๆ กั้นระหว่างบ้านเธอกับบ้านเขา ขยับตัวมายืนขวางไว้ “งั้นก็ยอมรับมาสิ ว่าที่อารมณ์บูดนี่...เป็นเพราะพี่” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความกวนประสาท เฌอปรางหันขวับมาจ้องเขา ตาแทบลุกเป็นไฟ “อย่ามาเข้าใจผิดนะ! โลกฉันไม่ได้หมุนรอบพี่หรอกนะ จะได้คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลก!” “อ้อเหรอ...” วาโยลากเสียงยาว ดวงตาเป็นประกายขี้เล่น “แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าตั้งแต่เมื่อวาน โลกของปรางก็เอาแต่หมุนมาทางพี่นะ” ประโยคนั้นทำให้เฌอปรางถึงกับหน้าแดงวูบ รีบตวาดกลับ “ไอ้พี่เหนือผีบ้า! หุบปากไปเลยนะ!” เธอผลักไหล่เขาแรงๆ แล้วรีบเดินหนีเข้าบ้าน ทิ้งให้วาโยยืนยิ้มมุมปากตามหลังด้วยท่าทางกวนประสาทเหมือนเคย เฌอปรางรีบปิดประตูห้องดัง ปัง! พิงแผ่นหลังกับบานไม้แน่น ราวกับต้องการกั้นโลกภายนอกออกไปให้ไกลที่สุด แต่สิ่งที่เธอกลับกั้นไม่ได้เลย…คือเสียงหัวใจของตัวเองที่ยังเต้นแรงรัวไม่ยอมหยุด ตึกตัก… ตึกตัก… เธอยกมือกดลงบนอก หวังว่าจะช่วยให้มันสงบลงบ้าง แต่ยิ่งกด ยิ่งรู้สึกถึงความร้อนวาบที่แล่นไปทั่วใบหน้า ความโกรธที่เขาชอบพูดจากวนประสาท ผสมกับความอายที่ถูกเขาแหย่เรื่องเมื่อคืน มันปั่นป่วนไปหมดจนแทบหายใจไม่ออก “ทำไมต้องมาเจอเขาอีก ทำไมต้องพูดแบบนั้นด้วย!” เธอบ่นกับตัวเองเบาๆ ขณะทิ้งตัวลงบนเตียง ใช้หมอนปิดหน้ากดเสียงกรีดร้องที่อยากปลดปล่อยออกมา ภาพรอยยิ้มมุมปากกวนๆ ของวาโยลอยเข้ามาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งพยายามห้ามไม่ให้คิด ก็ยิ่งกลับชัดเจนขึ้น เฌอปรางพลิกตัวไปมาเหมือนคนถูกผีอำ ทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้ง…ใจเต้นแรงอย่างหาสาเหตุไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ได้แต่พึมพำออกมาเสียงอู้อี้จากใต้หมอน “ตั้งสติสิปราง… อย่าไปสนใจหมอนั่นนะ…อย่าไปสนใจเด็ดขาด…” แต่ยิ่งบอกตัวเองเท่าไหร่ หัวใจก็เหมือนจะยิ่งไม่เชื่อฟังมากขึ้นเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD