ภายในรถเก๋งสีขาวคันเล็ก มีผู้หญิงที่ไม่คุ้นตากำลังจ้องมองตัวเองผ่านกระจกอยู่ สีผมที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลอ่อนทำให้ใบหน้าของฉันแปลกไปจากเดิม ทั้งการแต่งหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกระดับทำให้ฉันประหม่าที่จะก้าวขาออกไปจากรถ ไหนจะกลิ่นน้ำหอมเอย เสื้อสีขาวที่คอกว้างขึ้น กระโปรงสีดำที่สั้นขึ้น และรองเท้าส้นสูงสีดำพื้นแดง โดยปกติแล้วฉันก็ใส่ส้นสูงบ่อย ๆ แต่เป็นแค่สีดำล้วน หรือไม่ก็สีชมพูธรรมดา แต่พอมาเห็นตัวเองในชุดนี้แล้ว มันดูไม่ใช่ฉันเลยจริง ๆ
“ขนาดแม่ฉันยังตกใจ แล้วคนในบริษัทจะไปเหลืออะไรเนี่ย”
ทั้งที่มาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ก็สิงอยู่แค่ภายในรถจนเริ่มหมดความมั่นใจ หรือฉันควรกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดี?
ในระหว่างที่สมองตบตีกันอย่างหนัก มือถือที่แนบอยู่ข้างลำตัวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง หยิบขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าคือเพื่อนรักที่โทรมาเช็กงาน
“ไหน เปิดกล้องซิ”
คำสั่งแรกออกมาจากปากยัยนั่นทันทีที่รับสาย ฉันก็ทำตามอย่างไม่อิดออด
“โอ้โหห! คะแนนแต่งหน้าแม่ให้สิบ สิบ สิบ!”
เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะยกมือขึ้นมาตบระรัวอย่างภาคภูมิใจขั้นสุด
“ไม่มั่นใจเลยอะ กลับไปเปลี่ยนชุดดีไหม น่าจะยังทัน”
“แกจะบ้าเหรอ หมดเงินไปตั้งเท่าไหร่แล้ว อย่ามาขี้ขลาดตอนนี้สิ”
แกก็พูดง่ายสิ ก็แกอยู่คนละที่กับฉันนี่ คนที่ต้องแบกสายตาแปลก ๆ จากคนรอบข้างคือฉันคนเดียวเลย
“เอาน่า ลุคนี้สวยเปรี้ยวจะตาย เชื่อฉันสิ งานนี้แหละ! ได้ผัวแน่”
“ผะ ผัวเลยเหรอ แค่แฟนก็พอมั้ง”
ฉันอึกอัก รู้สึกประหม่าไม่เลิก แม้จะให้เวลาตัวเองนั่งทำใจอยู่ในรถเกือบยี่สิบนาทีแล้ว
“แล้วนี่ได้ฉีดน้ำหอมยัง”
ปกติฉันไม่ค่อยชอบฉีดน้ำหอม แต่ยัยไอรินบังคับขู่เข็นให้ฉันฉีด แถมยังสละน้ำหอมตัวเองให้ฉันอีกด้วย ฉันต้องรู้สึกซาบซึ้งไหมเนี่ย
“อืม หอมฟุ้งจนเวียนหัว”
“หึ ๆ ดีมาก ไปจ้าเพื่อนสาว ออกไปล่าประธานเลยย”
แต่ละคำที่สรรหา มันไม่ได้ปลุกพลังในตัวฉันสักนิด ยิ่งฟังยิ่งหดหู่
“โอเค ๆ แค่นี้นะแก เดี๋ยวสาย”
“อืม ๆ โชคดีมีผัวเป็นประธานนะ”
ดูอวยพรเข้า จะถือเอาเป็นแรงใจในการก้าวเดินแล้วกัน
หลังจากวางสายยัยไอริน ฉันก็หยิบกระเป๋าสะพายเดินเข้ามาในบริษัท และทันทีที่พื้นรองเท้าสีแดงแตะลงกระเบื้องทางเข้า ทุกสายตาก็หันมาจับจ้องอย่างให้ความสนใจ
“โห! นี่พี่ตาฝาดไหมเนี่ย”
เริ่มจากยามทางเข้าที่เอ่ยทักด้วยสายตาเป็นประกาย ทำเอาฉันมีความมั่นใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
“คุณเหมันต์เข้าบริษัทยังคะ”
“ยังครับ แต่น่าจะใกล้ถึงแล้วละ”
ค่อยโล่งอก ฉันผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าบริษัทอย่างที่ยัยไอรินสอน และตอนนี้ก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนเป็นที่เรียบร้อย
“อะไรเข้าฝันให้ฟื้นแรงขนาดนี้คะหล่อน เมื่อวานยังวิ่งหน้าตั้งเป็นยายเพิ้งเข้ามาบริษัทอยู่เลย”
“สวัสดีค่ะเจ้ เบื่อ ๆ สีผมเดิมน่ะ เลยลุกขึ้นมาเปลี่ยนสักหน่อย”
ฉันยิ้มบาง ๆ พลางเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟประจำตัวของท่านประธานขึ้นมาชงกาแฟให้อย่างชำนาญ เพราะทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูกแล้ว
“น้องฉันจะขายออกก็งานนี้แหละแกเอ๊ย”
“ขอให้ขายออกจริง ๆ เถอะค่ะ สาธุ”
ฉันรีบพนมมือขึ้นจรดหัวอย่างจริงจัง ก่อนจะขอตัวยกกาแฟขึ้นมาไว้บนห้องท่านประธาน เพราะอีกไม่นานเขาคงมาถึง แต่ผิดคาดไปเล็กน้อย เพราะทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป ก็พบว่าอีกฝ่ายเพิ่งมาถึงเหมือนกัน และตอนนี้ยังไม่หย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้ด้วยซ้ำ
“สะ สวัสดีค่ะท่านประธาน”
ฉันยิ้มออกมาบาง ๆ ทั้งที่เริ่มประหม่าและหน้าเจื่อน เพราะไม่ได้เตรียมใจว่าจะเจอเขาตอนนี้
บ้าจริง! แล้วมายืนจ้องฉันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง
“กาแฟร้อน ๆ ไม่ใส่น้ำตาลค่ะ”
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร ฉันจึงเดินเข้าไปวางกาแฟลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้มือสะบัดเส้นผมเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอที่ขาวผ่อง และปัดให้กลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายไปตามคำแนะนำที่ยัยไอรินสอน
“อลิสาไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้คุณมาทำหน้าที่แทน”
“หือ?”
เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง อยู่ ๆ มาถามหาฉัน ทั้งที่ฉันยืนอยู่ต่อหน้า หรือว่าเขาจำฉันไม่ได้?
“กะ ก็ฉันนี่ไงคะ อลิสา”
พูดพร้อมกับชูป้ายห้อยคอให้อีกฝ่ายดู เขาจึงเริ่มกวาดสายตาจ้องสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอยู่เงียบ ๆ
หึ ตะลึงในความสวยล่ะซี่ แบบนี้ค่อยคุ้มเงินที่เสียไปหน่อย
“วันนี้มีประชุมตอนไหน”
สายตาที่สงสัยจางหายไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้แล้วเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟขึ้นไปดื่มด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“มีตอนสิบเอ็ดโมงค่ะ”
“อืม ไปได้ละ”
ใบหน้าอีกฝ่ายไร้สิ้นความสนใจในตัวฉัน เขาหันไปหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาทำโดยไม่สนใจอะไรฉันอีก ไอ้ที่ลงทุนไปเกือบหมื่นนี่สูญเปล่าทั้งหมดงั้นดิ?
ฉันเอาแต่ยืนนิ่งเพราะลืมตัว จนกระทั่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบถึงได้รู้ว่าไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ฉันจึงรีบย้ายตัวเองออกมาจากห้องทันทีและตรงไปที่บันไดหนีไฟ จุดลับที่ใช้คุยเรื่องส่วนตัว และหลบกล้องวงจรปิดได้ดีที่สุด
“ฮัลโหลแก ทำงานอยู่ไหม”
ถือสายรอไม่นาน ยัยไอรินก็กดรับสาย
“คุยได้ ๆ เป็นไงบ้าง ได้ผลปะ”
“กับคนอื่นน่ะได้ มองตาไม่กะพริบเลย แต่กับอีตานี่เงียบกริบเลยอะ ไม่มีแม้แต่สัญญาณบอกว่าชื่นชอบ แต่เขาแค่จำฉันไม่ได้เท่านั้นเอง”
“แปลว่าได้ผล”
ฝั่งนั้นเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ต่างจากฉันที่ใจเหี่ยวเฉาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แต่เขานิ่งมากเลยนะ เหมือนไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวฉันเลย”
“แกก็ทำให้เขาพิศวาสสิ มารยาหญิงอะ รู้จักไหม”
ไอ้รู้จักมันก็รู้อยู่นั่นแหละ แต่ฉันไม่มี ขืนมีก็อายที่จะใช้ด้วย
“อย่าเพิ่งท้อสิ ข่าวลือแกน่ะหนาหูมาถึงบริษัทฉันแล้วนะบอกไว้ก่อน”
ข่าวใหม่ที่ได้ฟังทำเอาฉันหูผึ่ง แทบมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาในทันที
“จริงเหรอ แล้วเขารู้ไหมว่าเป็นใคร”
“ยัง ๆ รู้แค่ตำแหน่งสูง”
“ฉิบหายละ”
ฉันแทบกรีดร้องออกมาในใจ ทำไมเรื่องมันถึงได้เผยออกมาเร็วขนาดนี้
“เพราะฉะนั้น แกช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“แล้วฉันต้องทำไงบ้าง”
“เดี๋ยวส่งให้ ทำตามให้ครบทุกข้อเลยนะ”
“อืม ๆ ขอบใจมาก”
หลังวางสายจากยัยไอริน ฉันก็ยืนรออยู่สักพักจนยัยนั่นส่งข้อความเข้ามายาวเหยียด และเรียงกลยุทธ์การอ่อยออกมาเป็นข้อ ๆ อ่านดูแล้วก็ทำได้แค่ขมวดคิ้วกับอุทาน
“นี่ฉันต้องทำอะไรแบบนี้จริง ๆ เหรอเนี่ย?”