Chapter 6
“เอาน่า อย่าคิดมากสิ” เมื่อเห็นยาหยีทำสีหน้าเศร้า สายลมก็รู้สึกผิดทันที เขาไม่น่าปากพล่อยแซวอะไรแบบนี้เลย ทั้งที่ก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างวายุกับยาหยีในตอนนี้เป็นยังไง
“พี่หมอรับกาแฟเลยไหมคะ” ยาหยีรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที เมื่อเห็นสายลมมองเธออย่างเวทนา
“จัดมาเลยครับ พี่ขอเข้ม ๆ นะ”
“ได้เลยค่ะ ว่าแต่พี่หมอกินแซนด์วิชด้วยไหมคะ หนูทำเอง” ยาหยีหยิบกล่องแซนด์วิชออกจากถุงผ้าส่งให้คุณหมอสายลม
“พี่จะพลาดของอร่อยฝีมือระดับเชฟแบบหนูได้ยังไงล่ะ” สายลมยื่นมือไปรับกล่องแซนด์วิชจากยาหยีด้วยรอยยิ้มทะเล้น
“งั้น...พี่หมอรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวหนูจะไปชงกาแฟมาให้กินกับแซนด์วิช” พูดจบ ยาหยีก็ผละตัวเดินไปที่ห้องแพนทีน แต่พอเข้ามาในห้องแพนทีน กลับเห็นคนตัวสูงคายกาแฟบ้วนทิ้งลงอ่างล้างมือด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เชี่ย ทำไมกูชงเองถึงไม่อร่อยเลยวะ”
“ให้หนูชงกาแฟให้ไหมคะเฮีย”
“ไม่ต้องยุ่ง”
“ค่ะ” ยาหยีพยักหน้ารับทราบในสิ่งที่เขาบอก จากนั้นเธอก็หยิบเมล็ดกาแฟใส่เครื่องชงกาแฟอย่างคล่องแคล่วเสมือนมืออาชีพ
เมื่อเห็นยาหยีทำในสิ่งที่เขาห้าม วายุก็หันไปดุยาหยีทันที “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องยุ่ง ฟังไม่รู้เรื่องเหรอยาหยี”
“หนูก็ไม่ได้ยุ่งกับเฮียซะหน่อย แต่หนูกำลังจะชงกาแฟให้พี่หมอลมต่างหากล่ะคะ” ยาหยีตอบกลับน้ำเสียงใจเย็น
พอได้ยินคำตอบจากยาหยี เขาก็หน้าเสียไปเสี้ยววินาที ก่อนจะทำเสียงไม่พอใจในลำคอแล้วเดินออกจากห้องแพนทีนไปอย่างหัวเสีย
“เหอะ...” ยาหยีทำเสียงเลียนแบบวายุเบา ๆ และจัดการชงกาแฟต่อ เมื่อชงกาแฟเสร็จแล้ว หญิงสาวก็เดินออกจากห้องแพนทีน
ก๊อก! ก๊อก!
ยาหยีเคาะประตูห้องทำงานสองครั้ง ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างผลักเปิดประตู แต่พอหญิงสาวก้าวขาเข้ามาในห้อง ปรากฏว่าคุณหมอสายลมไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง
“มึงซื้อแซนด์วิชมาจากไหนวะไอ้หมอ โคตรอร่อยเลยว่ะ” วายุเคี้ยวแซนด์วิชตุ้ย ๆ อย่างถูกปาก ไม่สนใจคนที่ถือกาแฟกลิ่นหอม ๆ เข้ามาในห้องทำงานแม้แต่น้อย
“ผมไม่ได้ซื้อ แต่น้องยาหยีทำมาให้ผมกิน” สายลมตอบพี่ชายพลางยกกาแฟที่ยาหยีเพิ่งเสิร์ฟขึ้นจิบ
“เหรอวะ” วายุพูดแค่นั้น เขาก็วางแซนด์วิชลงบนกล่องสีใสทันที
“ทำไมไม่กินให้หมดเนี่ย กินทิ้งกินขว้างเสียดายของแย่” สายลมตำหนิพี่ชายที่หยุดกินไปดื้อ ๆ ทั้งที่ก่อนหน้าแย่งเขากินหน้าตาเฉย
“พอกูรู้ว่าใครเป็นคนทำ กูก็กินไม่ลงเลยว่ะ”
“พูดอะไรของเฮียวะเนี่ย” สายลมทำตาดุใส่พี่ชายที่พูดไม่ถนอมน้ำใจยาหยีเลยสักนิด
“กูพูดตามความจริง” วายุตอบกลับหน้าตาเฉยไม่ได้รู้สึกผิดต่อคำพูดของตัวเองเลยสักนิด จากนั้นคนตัวสูงก็หยัดตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยวพี่จะไปหาหมอผีมาปราบผีห่าตัวนี้ออกจากร่างเฮียเอง”
“เขาคงไม่มีทางกลับมาเป็นเฮียวายุคนเดิมของหนูแล้วละค่ะ...”
“เอาน่า อย่าคิดมาก” เป็นอีกครั้งที่สายลมพูดประโยคนี้เพื่อปลอบใจยาหยี
“หนูกำลังจะชินแล้วค่ะ งั้นหนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” ก็แค่จะชิน แต่เธอไม่เคยชินเลยสักนิดกับคำพูดใจร้ายของวายุ
“ครับ” เมื่อยาหยีเดินออกจากห้องไป สายลมก็มองตามยาหยีด้วยความรู้สึกสงสาร สายลมได้แต่หวังว่าสักวันพี่ชายของเขาจะกลับมาเอ็นดูยาหยีเหมือนเดิม
18.00 น.
ในขณะที่ยาหยีและสายลมเดินไปที่ลิฟต์ก็ประจวบเหมาะกับที่วายุกำลังเดินเข้าลิฟต์พอดี และในจังหวะที่สายลมเดินเข้ามาในลิฟต์แล้ว วายุก็กดปิดประตูลิฟต์ทันที
“ว้าย!!” ยาหยีรีบวิ่งเข้าลิฟต์ทันที เมื่อจู่ ๆ ประตูลิฟต์เลื่อนปิดทั้งที่เธอกำลังเดินอยู่ตรงกรอบประตู
“ทำอะไรของเฮียวะ น้องเกือบโดนประตูลิฟต์หนีบแล้วเนี่ย” สายลมพูดเสียงดังใส่พี่ชายอย่างไม่พอใจที่รู้ว่าวายุแกล้งยาหยี
“อยากเดินชักช้าเองทำไมวะ”
“น้องเดินช้าตรงไหน”
“มึงจะเดือดร้อนอะไรนักหนาไอ้หมอ”
“พี่หมอ” ยาหยีกระตุกแขนหมอสายลมให้เขาหยุดเถียงกับพี่ชาย สายลมก็เลยถอนหายใจพรืดใหญ่ แล้วเงยหน้าขึ้นระงับอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังเดือดปุด ๆ ขึ้น
และเมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวมาถึงชั้นล่าง หญิงสาวก็เดินตามสองพี่น้องออกจากตึก จนกระทั่งเดินมาถึงลานจอดรถ ยาหยีก็เดินปลีกตัวออกไปเงียบ ๆ แต่ทว่าสายลมกลับเรียกยาหยีด้วยสีหน้ามีคำถาม
“จะเดินไปไหนน้องยาหยี”
“กลับบ้านค่ะ”
“หนูก็กลับบ้านพร้อมเฮียวายุสิ”
“กูต้องไปทำธุระที่อื่นต่อ”
“จะไปทำธุระที่อื่น แล้วไปส่งเมียที่บ้านก่อนไม่ได้หรือไง”
“เมียที่กูไม่ต้องการ ทำไมกูต้องดูแลวะ”
“เออ...เดี๋ยวผมดูแลน้องเองก็ได้” สายลมตอบกลับอย่างเหลืออด
“ก็ดี...” พูดจบ วายุก็เดินควงกุญแจไปที่รถของเขาทันที โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของใครแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่ใช่พี่ชายนะ กูจะกระทืบให้จมตีน” สายลมบ่นพึมพำคล้อยหลังพี่ชายเสียงเบา ทั้งที่ความจริงเขาคงจะสู้นักเทควันโดสายดำอย่างวายุไม่ได้ เพราะหากวายุได้โมโหขึ้นมาจริง ๆ ละก็ นิสัยวายุก็ไม่ต่างจากซาตานเท่าไรนัก
“พี่หมออย่าหัวร้อนสิคะ หนูกลับบ้านเองได้ค่ะ”
“จำไว้นะยาหยี อ่อนโยนได้ นุ่มนิ่มได้ แต่อย่าอ่อนแอ อย่ายอมมากเกินไป สู้ได้สู้ เถียงได้เถียง เข้าใจไหม” สายลมรีบเป่าหูยาหยีให้ลุกขึ้นสู้พี่ชายของเขา
“รับทราบค่ะ”
“ดีมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นพี่จะหัดขับรถให้ก็แล้วกัน”
“หนูนั่งรถแท็กซี่มาทำงานสบายใจกว่าค่ะ”
“อ้อ...ขอโทษนะ พี่ลืม...” สายลมรีบขอโทษยาหยีเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ที่ยาหยีไม่ยอมหัดขับรถ เป็นเพราะพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้หญิงสาวยังฝังใจจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
“ไม่เห็นต้องขอโทษหนูเลย พี่หมอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย งั้นเรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”
“อืม” สายลมพยักหน้า ก่อนจะเดินนำยาหยีไปที่รถของเขา
“อยู่คนเดียวได้ไหม” สายลมเอ่ยถามเมื่อขับรถมาถึงหน้าบ้านของวายุ
“สบายมากค่ะพี่หมอ” ยาหยีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เพราะถึงจะอยู่กับวายุมันก็ไม่ต่างอะไรจากอยู่คนเดียว
“งั้น...พี่เข้าบ้านก่อนนะ”
“ค่า...” ยาหยีตอบกลับเสียงใส และเมื่อเห็นสายลมขับรถวนเข้าบ้านไปแล้ว ยาหยีก็เดินทอดน่องไปนั่งที่สวนหย่อมข้างบ้านและปล่อยยูริให้วิ่งเล่นที่สนามหญ้า จนกระทั่งสองทุ่มในขณะที่ยาหยีกำลังจะเดินขึ้นชั้นสอง แชตไลน์ก็ดังแจ้งเตือน ทำให้ฝีเท้าเล็กก้าวขาเดินไปนั่งที่โซฟาโซนรับแขก...
แป้งร่ำ : (ส่งรูปภาพ)
: ผัวแกปะเนี่ย
รูปภาพที่แป้งร่ำเพื่อนสาวคนสนิทส่งมาในแชต เป็นรูปที่วายุนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเขาในคลับ โดยมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งนั่งข้างเขา และเขาก็กำลังส่งยิ้มให้เธอคนนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ยาหยีเอาปลายนิ้วแตะไปที่ริมฝีปากหยักบนหน้าจอมือถือ แล้วโน้มตัวเอาปลายคางไปเกยไว้บนที่พักแขนโซฟาด้วยความห่อเหี่ยวใจ ที่เขาเอาแต่ส่งยิ้มให้ผู้หญิงคนอื่น แต่ทีกับเธอ เขากลับเอาแต่ทำหน้านิ่งหน้ายักษ์ใส่ตลอดเวลา
“เมี้ยว ๆ” ยูริเอาลิ้นเลียใบหน้าสะสวย พอความเย็นชื้นแตะลงบนใบหน้า เปลือกตาสวยก็ปรือตาตื่นท่ามกลางความมืดสลัวและความเงียบสงัดภายในบ้าน
และเมื่อหญิงสาวกดดูเวลาในมือถือ ถึงได้รู้ตัวว่าเธอนั่งหลับอยู่ชั้นล่างจนถึงตีหนึ่ง และในขณะที่หญิงสาวกำลังเดินขึ้นชั้นสอง วายุก็โทรเข้ามาพอดี พลอยทำให้ใจดวงน้อยเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่เขาโทรหาเธอ
“ฮัลโหลค่ะเฮีย” ยาหยีกรอกน้ำเสียงหวานทักทายปลายสาย แต่ทว่าทางนั้นกลับไม่พูดอะไรตอบกลับมา ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหอบแรง ๆ แทรกเข้ามาในสาย ก่อนที่จะตัดสายไป...