ชายหนุ่มย้อน “เราเคยคบกันมาก่อน ทุกคนก็รู้ ถ้าแอลไปทำเรื่องแบบนั้นจริง มันส่งผลถึงเราด้วยนะ พ่อของกิ่งเป็นอธิบดี ถ้าเขารู้ว่าแฟนเก่าเรามีข่าวเสียหายแบบนี้ เขาจะคิดยังไงกับเรา”
ในวินาทีนั้นเอง อลิสาได้เห็น “ธาตุแท้” ของชายที่เคยรักสุดหัวใจ
เขาไม่ได้สนว่าเธอจะเป็นอย่างไร เขาแค่กลัวตัวเองจะเสียหน้า กลัวจะหมดค่าทางสังคม และกลัวผู้หญิงอีกคนที่เขาเลือกจะต้องอับอายเพราะอดีตของเขาเอง
อลิสายืนนิ่ง ใจเจ็บจนชา แต่แววตากลับแน่วแน่กว่าครั้งไหนๆ
ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเธอยกหัวใจให้ กลับพูดราวกับการเคยมีความสัมพันธ์กับเธอเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ
ผู้ชายคนนี้ไม่คู่ควรกับความรักของเธอเลยสักนิด!
“แล้วนายรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน”
อลิสาถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่ภายในใจกลับพลุ่งพล่าน เธอเองก็อยากรู้ว่าใครเป็นคนเริ่มต้นข่าวลือพวกนี้ แม้มันจะไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรถูกประจานเหมือนเธอคือคนบาปเพียงคนเดียวในมหาวิทยาลัย
ในรั้วมหา’ลัยแห่งนี้ คนที่ใช้คำว่า "นักศึกษา" บังหน้าเพื่อแลกเงินมีอยู่ไม่น้อย บางคนเป็นเด็กเสี่ย บางคนรับงานเงียบๆ บางรายถึงขั้นเอาชุดนักศึกษามาเพิ่มราคาค่าตัวด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีใครโดนประณามเท่าเธอ เหมือนมีใครบางคนจงใจทำให้เธอตกเป็นเป้า
“กิ่งบอกเราเอง” ชนกันต์ตอบตรงๆ “ตอนแรกเราก็ไม่อยากเชื่อ...แต่กิ่งมีรูปถ่ายยืนยันว่าแอลมีเสี่ยเลี้ยง”
ประโยคนั้นทำให้อะไรหลายอย่างเริ่มเชื่อมโยงกันในหัวของอลิสา
คืนวันนั้น เธอแค่ดื่มวอดก้าแก้วเดียวจากมือของกิ่งแก้วเพื่อแลกกับเงินหนึ่งหมื่น แต่ไม่นานก็รู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนร่างกายขาดการควบคุม และนั่นคือคืนที่เธอได้เจอกับผู้ชายสองคนในกลุ่มของกิ่ง
ทุกอย่างคือกับดัก… และเธอเองก็ตกลงไปเต็มๆ
อลิสาขบกรามแน่น พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา เธอไม่ใช่คนโง่
คนอย่างกิ่งแก้ว มีอำนาจพอจะลากคนธรรมดาอย่างเธอลงไปเหยียบย่ำ
“หึ... นายกลับไปถามแฟนนายเหอะ ว่าทำอะไรไว้ ระวังไว้นะ สมัยนี้กรรมมันทำงานไว”
เสียงของอลิสานิ่งเย็น แต่แฝงด้วยแรงอารมณ์ที่อัดแน่นมานาน เธอจ้องชนกันต์ด้วยสายตาแข็งกร้าว
“ต่อไปนี้ อย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก ไม่ก็ทำเป็นไม่รู้จักกันไปเลยก็จะดีมาก”
ไม่ได้พูดประชด ไม่ได้โกรธเกรี้ยว เธอแค่ไม่อยากสร้างศัตรู ตั้งแต่เลิกรากันไปอลิสาก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ตามตื๊อเขาให้วุ่นวาย จบก็คือจบต่างคนต่างอยู่
โชคดีที่รถเมล์สายที่รอคอยวิ่งเทียบจอดตรงป้ายในจังหวะพอดี อลิสาไม่หันกลับไปมองแม้เพียงเสี้ยววินาที เธอก้าวขึ้นรถอย่างเร็ว มือคว้าราวจับแน่นราวกับตัดใจจากอดีตที่ไม่น่าจดจำนั้นได้แล้วเสียที เป็นอย่างที่โบนิต้าเคยพูดไว้ไม่มีผิด โชคดีที่สุดแล้วที่เลิกกันไป
เธอนั่งเงียบๆ บนที่นั่งริมหน้าต่าง มองวิวเมืองเลือนๆ นอกกระจกที่ฉาบด้วยคราบฝุ่นแดด บรรยากาศภายนอกดูปกติ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงจากความคิดที่ตีวน เธออยากหยุดพักสักหนึ่งวัน...แต่ชีวิตไม่มีทางเลือกขนาดนั้น
รถใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในย่านเงียบสงบ ตัวอาคารเรียนสามชั้นสีครีมซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ เงาร่มของต้นประดู่แผ่กว้างไปทั่วสนาม เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างร่าเริงริมสนามหญ้า
อลิสาเดินผ่านประตูรั้วเหล็กโรงเรียนด้วยท่าทีรีบร้อน ตั้งใจจะไปจ่ายค่าเทอมที่ค้างชำระไว้นานหลายเดือนให้อลัน
น้องชายของเธอเรียนอยู่ชั้นประถมห้า ผลการเรียนเกรดสี่ทุกวิชา ได้รับรางวัลเนักเรียนดีเด่นติดต่อกันหลายปี
ยังไม่ทันจะก้าวถึงอาคารเรียน เสียงเรียกก็ดังขึ้นจากด้านข้าง
“ผู้ปกครองของเด็กชายอลันใช่ไหมคะ?”
เสียงหอบหายใจพร้อมน้ำเสียงตื่นตระหนกทำให้อลิสาหันไป ครูหญิงร่างท้วมเจ้าของใบหน้ากลมแดงเรื่อกำลังรีบเดินมาทางเธอ คนในโรงเรียนเรียกกันติดปากว่า "ครูลูกโปร่ง" ครูประจำชั้นของอลัน ผู้มีเอกลักษณ์ในการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีจัดจ้านราวกับสายรุ้ง
“ใช่ค่ะ วันนี้หนูตั้งใจมาจ่ายค่าเทอมที่ค้างไว้ค่ะ”
“โอ๊ย! เรื่องนั้นไว้ทีหลังก่อนค่ะ!”
เสียงของครูแทบแหบพร่าจากการรีบเดิน “อลันเกิดเรื่องค่ะ! ครูกำลังจะโทรหาผู้ปกครองพอดีเลย!”
หัวใจของอลิสาหล่นวูบ เธอเบิกตากว้างทันที
“เกิดอะไรขึ้นคะ? อลันเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“อย่าเพิ่งถามเลยค่ะ! ตามครูมาเร็ว!”
ครูลูกโปร่งไม่รอคำอนุญาต คว้ามือเธอไว้แน่นก่อนจะกึ่งลากกึ่งพาเธอไปยังอาคารฝั่งขวามือของโรงเรียน
ภายในห้องประชุมที่บรรยากาศเคร่งขรึม เงียบจนได้ยินเสียงนาฬิกาติดผนังเดินเป็นจังหวะ โต๊ะไม้ยาวกลางห้องมีเหล่าคณะครูรวมถึงผู้อำนวยการโรงเรียนหญิงวัยห้าสิบต้นๆ นั่งประจำตำแหน่งตรงหัวโต๊ะ สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ด้านซ้ายมือของห้อง หญิงวัยกลางคนในชุดสูทสีเบจดูภูมิฐานนั่งตัวตรง ใบหน้าขึงตึง เหลือบมองอีกฝั่งด้วยสายตาเย็นชา ข้างเธอคือเด็กชายรูปร่างอ้วนท้วมในสภาพมอมแมม ริมฝีปากมีรอยแตกเลือดซึม แก้มขวาบวมแดง มีรอยฟกช้ำจางๆ ที่ลำคอและข้อศอก
อีกด้านหนึ่ง เด็กชายตัวเล็กผิวขาวจัดนั่งก้มหน้าอยู่ ใบหน้าคุ้นตาของเขาทำให้หัวใจของอลิสาแทบหยุดเต้น
“อัน!”
เธอเบิกตากว้าง รีบถลาเข้าไปหาโดยไม่รอฟังคำทักทายใดจากครูคนไหน มือสั่นน้อยๆ ยกขึ้นแตะที่แก้มน้องชาย ก่อนจะพลิกดูใบหน้าเล็กทั้งสองข้าง
“อัน! เกิดอะไรขึ้นลูก? ทำไมมีรอยช้ำแบบนี้?”
เสียงของเธอสั่น เธอค่อยๆ สำรวจตามตัวน้องชาย ไล่จากแขนลงมาจนถึงฝ่ามือ เย็นวาบไปทั้งร่างเมื่อพบรอยแดงจางๆ บนท่อนแขน
อลันไม่ตอบ เพียงแค่ส่ายหน้าช้าๆ และยังคงหลบตาเธอ
เสียงแหลมของหญิงอีกคนดังขึ้นทันควัน “นี่เรอะ ผู้ปกครอง? ยังเป็นนักศึกษาอยู่เลยแท้ๆ ไม่แปลกใจหรอกที่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอนเด็ก ปล่อยให้ลูกมาทำร้ายลูกคนอื่นได้ขนาดนี้!”
คำพูดนั้นเสียดแทงเข้าที่หัวใจของอลิสาอย่างจัง ใบหน้าเธอหันขวับไปทางหญิงวัยกลางคนทันที
“ป้าเป็นใครคะ อยู่ๆ มาดูถูกกันแบบนี้? หนูอาจไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ แต่ป้าก็ไม่มีสิทธิ์พูดกับหนูกับน้องแบบนี้”
น้ำเสียงของเธอไม่ได้ดังมาก แต่มากพอจะทำให้ความเย็นเฉียบในคำพูดกระจายไปทั่วห้อง
ฝ่ายตรงข้ามขยับริมฝีปากเหมือนจะตอบโต้ ทว่าผู้อำนวยการโรงเรียนรีบยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุด
“ใจเย็นก่อนนะคะทั้งสองท่าน เราอยู่ในโรงเรียน และทุกคนต่างก็อยากให้เรื่องนี้คลี่คลายด้วยดี อย่าพึ่งสาดคำพูดใส่กันเลยค่ะ”
“คือ... เด็กชายอลันต่อยเพื่อนในห้องเรียนน่ะค่ะ ส่วนสาเหตุ... ครูเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ถามอลันแล้วเขาไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่นั่งเงียบค่ะ” คุณครูลูกโปร่งเอ่ยเสียงอ่อน พลางส่งสายตาเป็นห่วงไปยังเด็กชายผู้เงียบขรึมที่นั่งก้มหน้าอยู่
อลิสานิ่งงัน ความตกใจตีขึ้นมาเต็มอก เด็กน้อยที่เธอเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม เป็นเด็กอ่อนโยน เรียบร้อย และมักมีน้ำใจให้เพื่อนอยู่เสมอ นะหรือที่จะใช้ความรุนแรง
“จริงหรือ อัน?” เธอก้มลงไปถามเบาๆ ดวงตาแดงเรื่อสบตาน้องชายด้วยความไม่อยากเชื่อ
เด็กชายพยักหน้าเบาๆ “ครับ...”
เสียง "ครับ" ที่เบากว่าลมหายใจนั้นดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าในใจพี่สาว
“เห็นไหมล่ะ! ฉันบอกแล้วว่าไอ้เด็กเหลือขอจนๆ นี่มันสันดานนักเลง!” แม่ของเด็กชายคู่กรณีสวนขึ้นทันควัน สีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจและอคติ “ตอนเป็นเด็กยังกล้าใช้กำลังขนาดนี้ พอโตไปก็ไม่พ้นติดยา ติดคุก เป็นขยะสังคม!”
คำพูดร้ายกาจประดุจมีดกรีดกลางอกของอลิสา เธอกำมือแน่น ริมฝีปากสั่นเทา ดวงตาสั่นระริกแต่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เธอไม่เคยกลัวคำดูถูกหากมันมีแต่เธอคนเดียวที่ต้องแบก แต่วันนี้อลันกลับต้องมาได้ยินคำพูดเหล่านี้
ตัวเธอเจ็บแค่ไหนก็ทนได้เสมอ สิ่งเดียวชีวิตที่ไม่สามารถอดทนได้เลย คือการเห็นน้องชายเจ็บ
“ขอโทษนะคะ...” เสียงของครูลูกโปร่งดังแทรกกลางอากาศที่เริ่มหนักอึ้ง “แต่ว่าการด่าเด็กแบบนี้มันรุนแรงเกินไป และไม่ควรพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าเด็กด้วยนะคะ ดิฉันขอความร่วมมือค่ะ”
อลิสาหันไปหาอลัน ดึงร่างเล็กมากอดไว้เบาๆ ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงที่อบอุ่นแต่เด็ดขาด
“อัน... ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นยังไง การใช้ความรุนแรงก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ”
เธอใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผมหน้าผากของน้องชายอย่างอ่อนโยน “ถึงอันจะเจ็บ แต่รู้ไหม ถ้าอันเจ็บ พี่ก็เจ็บมากกว่าสองเท่าเลย... ครั้งหน้าห้ามทำอีกนะครับ ขอโทษเพื่อนเขาซะ”
อลันเงยหน้าช้าๆ ดวงตาแดงก่ำ มือเล็กยกขึ้นพนมอย่างเงอะงะ “ขอโทษครับ...”
หญิงวัยกลางคนหันหน้าหนีทันที ทำราวกับไม่ได้ยินคำขอโทษของเด็กชายผู้แสนอ่อนแรง เธอสะบัดกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมขึ้นไหล่ พลางเอ่ยเสียงขุ่น
“หวังว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีกนะ คราวหน้าฉันไม่ยอมแน่... ไป ลูก”
อลิสาเม้มริมฝีปากแน่น ฝืนยิ้มก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“คือ... ถ้าจะให้ทางเรารับผิดชอบ หนูยินดีนะคะ หรือจะให้พาน้องไปหาหมอ หนูจะออกค่ารักษาเอง”
“ไม่ต้องหรอกยะ!” เสียงแหลมตอบกลับมาทันที “เก็บเงินอันน้อยนิดของเธอไว้กินข้าวเถอะ! เหม็นสาบคนจน!”
ประโยคสุดท้ายนั้นราวกับค้อนทุบกลางอก อลิสาก้มหน้าลงอย่างหมดแรง ความอับอายคล้ายถูกสาดโคลนใส่กลางที่สาธารณะ ถ้าคำพูดพวกนั้นมีแค่เธอคนเดียวที่ได้ยิน อลิสาก็พอจะอดทนกล้ำกลืนได้
แต่การที่อลัน ต้องมานั่งฟังคำดูถูกพวกนั้นด้วย มันเหมือนมีใครเอามีดมากรีดกลางใจเธอช้าๆ ความสงสารและเจ็บปวดถาโถมเข้ามาจนเธอแทบหายใจไม่ออก
หลังจากกล่าวขอโทษทั้งผู้อำนวยการและคุณครูประจำชั้นเรียบร้อยแล้ว อลิสาก็จัดการจ่ายค่าเทอมที่ค้างไว้ และพาอลันกลับมาด้วยกัน
ตลอดทางกลับ สองพี่น้องนั่งเงียบ ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
อลันเงียบจนน่าใจหาย ไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำ ส่วนอลิสาในหัวเต็มไปด้วยปมพันกันยุ่งเหยิง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องข่าวลือ และเหตุการณ์ที่โรงเรียนที่ยังสะเทือนใจไม่หาย
ทันทีที่ถึงห้อง อลันวางกระเป๋าแล้วทรุดตัวลงกับพื้นอย่างเงียบงัน ก่อนจะคุกเข่า สองมือประนมแนบอก น้ำตาใสไหลอาบแก้ม ดวงตากลมโตที่พยายามเข้มแข็งมาตลอดกลับสั่นระริกด้วยความรู้สึกผิด
“ทำอะไรนะ อัน!”
อลิสารีบทรุดตัวลงตรงหน้า กอดน้องชายแน่น หัวใจเธอเหมือนถูกบีบแรงเมื่อเห็นน้ำตาของน้องชาย
“พี่แอล... อันขอโทษครับ ฮึก... อันจะไม่ทำแบบนั้นอีก อันสัญญา...”
เสียงสั่นเครือของเด็กชายดังอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ความเจ็บปวดที่เขาแบกรับไว้เอ่อล้นออกมาทีละหยดในรูปของน้ำตา
“พี่รู้แล้ว อันไม่ได้ผิดหรอก อันแค่ปกป้องตัวเอง แต่ครั้งหน้าก็อย่าใช้กำลังอีกนะเด็กดีของพี่...”
อลิสากระซิบปลอบ กอดแน่นขึ้นอีกนิดราวกับจะโอบหัวใจน้อยๆ ไว้ไม่ให้แตกสลาย
“...เขาว่าอันเป็นลูกไม่มีพ่อแม่ เป็นลูกกำพร้า ฮึก... อันคิดถึงพ่อกับแม่”
คำสารภาพเล็กๆ นั้นทำให้น้ำตาเธอคลอทันที
“โธ่อัน... พี่ก็คิดถึง... แต่เรายังมีกันและกันนะ อันยังมีพี่ พี่จะอยู่กับอัน ไม่ทิ้งอันไปไหนเด็ดขาด พี่สัญญา...”
ในห้องเล็กๆ ที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบา สองพี่น้องกอดกันแน่น ถ่ายทอดความรัก ความเข้าใจ และความอบอุ่นซึ่งกันและกันอย่างไม่มีเงื่อนไข