พิธีการในงานดำเนินไปอย่างราบรื่น แขกที่มาร่วมงานหลายคนล้วนอวยพรให้บ่าวสาวครองรักกันหวานชื่น ซึ่งดรัณภพทำเพียงกล่าวขอบคุณและยิ้มเฉยเท่านั้น เขารักษาภาพพจน์ของตนได้ดีอย่างหมดจด
ทว่าคนทั่วไปคงไม่สังเกตเห็นบางอย่าง แต่มินตรารับรู้ได้ถึงความแข็งกร้าวเฉยชาที่แฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น
ทุกวินาทีที่ดำเนินไปทำให้เธอหายใจแทบไม่ทั่วท้อง ยิ่งช่วงเวลาที่บางจังหวะเขาสบตากับเธอ หญิงสาวก็แทบอยากหายตัวไปจากตรงนี้
เธอเดาความคิดของผู้ชายคนนี้ไม่ออกเลย...
และแล้ว...ช่วงเวลาก็ดำเนินมาจนถึงจุดสุดท้าย นั่นคือการเข้าหอของบ่าวสาว
เรือนหอของพวกเขาก็คือเพนต์เฮาส์สุดหรูกลางกรุง ซึ่งเจ้าของก็คือสามีของเธออย่างดรัณภพ เมื่อส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว คนที่เกี่ยวข้องก็กลับออกไป เหลือไว้เพียงช่วงเวลาที่หอมหวานในค่ำคืนนี้
หอมหวานหรือ?
ทว่ามินตราคิดว่าคงไม่ใช่สำหรับเธอ...
เจ้าสาวป้ายแดงนั่งอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้หอมเย้ายวนรัญจวนใจ ชุดแต่งงานสำหรับพิธีช่วงค่ำของเธอรัดรึงแนบไปกับรูปร่างอรชร ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางสวยงามชวนมองยิ่งกว่าวันไหน ๆ ขนาดช่างภาพและแขกผู้ชายในงานยังจ้องเจ้าสาวตาไม่กะพริบ
ทว่าเธอไม่คิดว่าตนเองน่ามองสำหรับใครบางคน...
ซึ่งคงเป็นเขา...ดรัณภพ สามีของเธอคงกำลังมองเธอด้วยความสมเพชบางอย่างเสียมากกว่า ที่เขาแสดงออกมาวันนี้เธอรู้ดีว่ามันก็แค่ฉากหน้า สายตาที่เขามองมาแฝงความดำมืดที่เธอเข้าไม่ถึง
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยินยอมทำหน้าที่ของเธอตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ
หน้าที่ของภรรยาคนหนึ่ง...
"คะ...คุณภพ" เสียงหวานเรียกคนข้างกายที่นั่งอยู่
เขาไม่ได้หันมามองเธอสักนิดทั้ง ๆ ที่หูก็ได้ยินชัดเจน ทำเพียงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่หน้ากระจก ดึงโบว์ไทในชุดทักซิโด้สำหรับพิธีช่วงค่ำออก ค่อย ๆ แกะคราบเจ้าบ่าวของวันนี้ออกจนเหลือเพียงเชิ้ตด้านในสีขาวและกางเกงสีดำเท่านั้น
เมื่อปลดกระดุมด้านบนสามเม็ดให้คลายออก แขนเสื้อถูกพับขึ้นให้ลุคที่ผ่อนคลายลง เขาก็เดินไปหยิบซองบุหรี่บนโต๊ะก่อนเดินผ่านเธอไปยังระเบียงอย่างไม่แยแส
ทิ้งให้มินตรานั่งทำหน้าไม่ถูกในช่วงเวลานี้ หญิงสาวเองก็ไม่กล้าที่จะเรียกเขาอีก เขาอาจจะเหนื่อยและอยากอยู่เงียบ ๆ
ร่างบางจึงตัดสินใจลุกไปปลดเครื่องประดับต่าง ๆ ออกจากเรือนกาย เหลือเพียงชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มร่าง เธอไม่กล้าจะไปอาบน้ำหรือเปลี่ยนชุด เพราะไม่รู้จะว่าเขาจะเอาอย่างไรต่อ
หน้าที่ในคืนนี้ของเธอยังไม่จบ...
ระหว่างที่เหม่อคิดไปเรื่อยก็ต้องตกใจเมื่อเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความเยือกเย็น
"รอฉันเหรอ"
"คุณภพ" มินตราหันมาก็พบว่าเป็นชายหนุ่ม เขาเข้ามาและยืนกอดอกมองเธอที่ประตูกระจกริมระเบียงตอนไหนก็ไม่ทราบ
"อะ...เอ่อ...คือมิน..." เป็นครั้งแรกที่เธอพูดตะกุกตะกักกับคนอื่นเช่นนี้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเวลาสบตากับดรัณภพ เขาช่างดูเหนือกว่าเธอในทุก ๆ อย่าง เขาเหมือนพญาเหยี่ยวที่กำลังมองดูเหยื่อที่ไม่มีทางหนี เธอมักประหม่าและรู้สึกหายใจลำบากนัก
"หึ" เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นอยู่ในลำคอของดรัณภพ
สายตาคมกริบไล่พินิจมองเธอตั้งแต่ปอยผม ดวงตาหวาน ริมฝีปากอิ่มแวววาว มองไปทั่วจนถึงปลายเท้าบอบบางของเธอ
มินตราหลบสายตาที่ยากคาดเดาของเขา เอามือเรียวกุมกันไว้สลับลูบไล้แขนแก้อาการประหม่า ทว่าชายหนุ่มก็เดินเข้ามาหาเธอช้า ๆ
ทุกย่างก้าวที่กำลังใกล้เข้ามา คล้ายกับการคืบคลานของปีศาจร้าย
"แสดงพอหรือยัง"
"คะ?"
แววตาสีนิลมองเข้ามาในตาเธอ เหมือนกำลังล่วงล้ำความนึกคิดของเจ้าสาวทีละน้อย ในขณะที่ร่างกำยำสูงแกร่งกว่าเธอก็ขยับมาใกล้อีก
"คะ...คุณภพ..." เท้าเรียวก้าวถอยอัตโนมัติ ลมหายใจติดขัดเมื่อเขากำลังไล่ต้อนเธออย่างใจเย็น
เขาไม่รีบร้อนแต่แปลกที่เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกกองไฟเผาไหม้ทั้งกาย
มินตราถอยจนหลังบางแนบชิดชนกับผนังห้อง แววตาหวานเมื่อกี้คลอเคล้าความกลัวบางอย่าง เหมือนหนูที่จนตรอกไร้ทางไป
"เสแสร้งเก่งดีนะ" แขนแกร่งยกขึ้นกักขังเธอไว้ แววตาเย็นชาระคนเหยียดหยันส่งไปหาคนตัวเล็ก
หน้าซื่อ ๆ แบบนี้ไม่คิดว่าจะสามารถตะเกียกตะกายหาทางขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ร้ายแค่ไหน
"มะ...มินไม่เข้าใจที่คุณพูด" เธอไม่เคยเสแสร้ง และสิ่งที่เธอกำลังทำเธอก็จะทำด้วยความเต็มใจ
"งั้นเหรอ" เขาแค่นหัวเราะก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างเชยคางมนของมินตราขึ้นมา
จ้องมองเข้าไปด้วยความกระด้างดุดันไร้ความอ่อนโยน
"แล้วเธอไปตกลงอะไรกับพ่อฉันล่ะ..."
"..."
"ไหนจะเรื่อง...ที่ยุ่งกับคนมีคู่หมั้นแล้ว" เขากล่าวออกมาหน้าตาย รอยยิ้มมุมปากโค้งขึ้นเมื่อเห็นแววตาของเธอสั่นระริก "เธอคงช่ำชองเรื่องพวกนี้อยู่แล้วอย่าทำเป็นใสซื่อนักสิ มันน่าขำ"
"มินไม่..."
"ชู่ววว..." เขายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากอุ่นของเธอ "อยู่กันสองคนไม่จำเป็นต้องแสดงมินตรา"
เขาไม่คิดว่าผู้หญิงตรงหน้าจะเป็นกระต่ายน้อยน่าสงสาร หากแต่เป็นนางงูพิษต่างหาก แต่จะด้วยอะไรเขาก็ไม่อยากสน
พรึ่บ!
"ว๊าย!" มินตราเผลอหวีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ร่างของเธอก็ลอยหวือขึ้นไปทั้งตัว
ดรัณภพช้อนตัวเธออุ้มในท่าเจ้าสาวด้วยแขนแกร่ง สำหรับเขาน้ำหนักของเธอเบาหวิวแทบไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ เขาเดินอุ้มเธอมาที่เตียงก่อนจะเหวี่ยงร่างอรชรในชุดสีขาวน่าย่ำยีลงไป
ฟุ่บ!
"อ๊ะ...คะคุณภพ"
"ทำไม? ก็ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ" เขาขึ้นมาคร่อมเธอไว้
มือหนาสองข้างตรึงข้อมือแสนบอบบางของมินตราไว้ข้างกาย สายตาทั้งคู่จ้องประสานกัน
เจ้าของใบหน้าคมโน้มลงมา สูดกลิ่นหอมเย้ายวนที่หอมเสียยิ่งกว่ากลีบดอกไม้บนเตียงหลายเท่า นวลเนื้อของสตรีคนนี้แสนดึงดูดจนร่างกายร้อนผ่าว ถ้าไม่ติดว่าเธอมันนางมารร้าย เขาคงเผลอใจไปแล้ว
"คุณภพ..." มินตราหายใจหนักหน่วงจนอกสวยกระเพื่อมตามแรง ยิ่งปลายจมูกของเขาใกล้เข้ามาที่ซอกคอหัวใจของเธอก็แทบจะหลุดออกมา
"กลัว?" เสียงกระซิบถามเธอ
"มิน...มินแค่ยังไม่ได้ตั้งตัวค่ะ" เธอเตรียมพร้อมทำหน้าที่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังทำให้เธอตกใจ ยิ่งสายตาของเขาที่มองเธอเมื่อกี้ บ่งบอกว่าเขามีอคติต่อเธอมากแค่ไหน
"หึ!" เขาแค่นหัวเราะ
ชายหนุ่มกดใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเธอก่อนจะขบเม้มผิวบางอย่างแรง รสร้อนจากริมฝีปากเขาแนบนาบจนสติของเธอแทบเตลิด
มันเป็นสัมผัสแรกจากบุรุษเพศที่แนบชิดร่างกายเธอขนาดนี้
"อ๊ะ!"
เพียงแค่เป็นรอยแดงช้ำเท่านั้นดรัณภพก็ผละตัวออกมา เขายืนมองเธอด้วยปลายสายตาแสนดูถูกก่อนกระตุกยิ้มมุมปาก
"มินตรา... กับคนอื่นเธอจะเป็นอะไรก็ช่าง"
"..."
"แต่สำหรับฉันเธอมันก็แค่สิ่งของแลกเปลี่ยน"
เขาเดินออกไปที่หน้าประตูก่อนจะทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้
"ทนให้ไหวแล้วกัน ตำแหน่งเมียของฉันน่ะ"