เสียงปิดประตูรถดังขึ้น พร้อมกับร่างบางที่ทิ้งตัวอย่างหมดแรง ศีรษะซบลงกับพวงมาลัยรถด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่
เธออยากร้องไห้แทบบ้า..
กระทั่งหยาดน้ำตาไหลรินหล่นบนแก้มใส พิมรักก็ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ หลังเดินหนีชู้รักที่กระทืบเท้าปึงปังเข้าไปในโรงพยาบาล
ดูก็รู้ว่าน่าจะมาหาชายชู้เพื่อเปิดตัวถึงที่
ป่านนี้คงมีเรื่องให้คนเขาติฉินนินทากันสนุกปาก ขนาดเลิกขาดให้แล้วก็ยังโดนตามวอแวไม่เลิกรา ยังไงเธอก็ไม่คิดจะกลับไปหาณดลอยู่แล้ว
‘ถ้าพี่เรียนจบ เรามาแต่งงานกันนะพิม’
‘ผู้หญิงคนเดียวที่พี่จะรักก็คือพิมนะครับ’
ร่างบางสะอื้นไห้จนตัวสั่นโยน น้ำตาไหลอาบแก้มขาวเป็นทางยาว แพขนตางอนเปียกชื้นกับคำพูดทับถมของคนที่เธอไม่ควรเก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ
แต่ทำไงได้มันกวนใจเธอเป็นบ้าเลย..
‘เขาบอกว่าเธอมันจืดชืด ไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่งตัวเชยรสนิยมหลายอย่างไปด้วยกันไม่ได้’
‘ไม่แปลกใจหรอกทำไมผู้ชายถึงทิ้งเธอมาหาฉัน ของพวกนี้มันต้องมีลีลากันบ้าง ไม่งั้นดูตายด้านพวกผู้ชายก็ทิ้งไปไง’
คำหวานที่เคยหยอดในวันวาน เวลานี้กลับกลายเป็นหอกแหลมทิ่มแทงใจเธอไม่หยุด พานให้ใจที่บอบช้ำมาส่งผลให้น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสาย
พิมรักยกมือขึ้นปิดหน้า ปล่อยโฮอยู่บนรถเพียงลำพัง โดยที่ไม่มีใครได้ยินมันนอกจากเธอ
“ฮึก ฮือ”
แต่แล้วสายเรียกเข้าก็ดันแทรกจังหวะเศร้าเสียก่อน เธอลดมือลงจากใบหน้าเพื่อควานหามือถือขึ้นมาดู
ฉับพลันเสียงสะอื้นก็เหือดหายไป เมื่อสายเรียกเข้าดันเป็นเบอร์ของเทียนอี้ บุคคลที่ทำให้เธอประสาทจะกินกบาลมาทั้งวั้น
เหมือนหนีเสือปะจระเข้..
ซวยซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนพิศวงไปหมด
“ฮัลโหลค่ะ” พิมรักพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ พลางสูดน้ำมูกแล้วใช้หลังมือปัดป่ายน้ำตาบนแก้มออก
( ..... )
“คุณเทียน”
พิมรักขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ผลมาจากคนที่เป็นฝ่ายโทรมาดันไม่พูดอะไรสักคำ
ตั้งใจกวนประสาทกันหรือไง
“ถ้าคุณไม่พูด ฉันจะวางนะคะ” น้ำเสียงอู้อี้ถูกส่งไปปลายสาย ก่อนจะได้รับเสียงตอบกลับมาในทันที
( มาหาฉันที่เพนท์เฮ้าส์ )
“ตอนนี้เลยเหรอ เอ่อ แต่ว่า..”
ไม่ทันได้พูดจบประโยค เทียนอี้ก็วางสายใส่เธอเหมือนเช่นเคย ทำเอาคนที่กำลังเศร้าอยู่หัวร้อนขึ้นมาเลยทีเดียว
สักพักกล่องข้อความก็เด้งมาที่หน้าจอ เป็นการแชร์โลเคชั่นจากเพนท์เฮ้าส์ของเทียนอี้ส่งมาให้ ตบท้ายด้วยความข้อไม่กี่พยางค์ต่ออีกว่า
‘ถึงแล้วโทรมา’
พิมรักผ่อนปรนลมหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ เธอเพียงกวาดสายตาอ่านข้อความแล้ววางโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัว
หากทว่าภาพบางอย่างกลับจู่โจมเข้ามาในหัว จนเรียวคิ้วสวยเริ่มขมวดเข้าหากันทีละนิด จากภาพจำที่เลือนรางก็ค่อยชัดขึ้น ก่อนจะมีเสียงกระแทกเข้ามาในโสตประสาท
‘เมาแล้วชอบอ้อนเหรอ’
‘แล้วอ้อนได้มั้ยคะ’
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง พลางยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง แล้วทิ้งศีรษะกระแทกกับพวงมาลัยเพื่อเป็นการลงโทษ
เธอปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขา ไปทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงของอีกฝ่าย ทั้งยังใช้เรียวแขนโอบลำคอซุกแนบร่างกายชิดกันอีก
บอกทีว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง..
หลังจากภาพตรงนั้นคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกใช่มั้ย
พอเริ่มไล่ย้อนเรียงเหตุการณ์ ภาพทุกอย่างก็ตัดไปจนจำอะไรแทบไม่ได้ ที่มาของเงินแสนก็เลือนรางเหลือเกิน
“เธอบ้าไปแล้วพิมรัก.. บ้าไปแล้ว”
PENTHOUSE
หลังเฉไฉอยู่นานสองนาน สุดท้ายพิมรักก็ยอมก้าวลงจากรถหลังนั่งทำใจเกือบสิบนาที พลางเงยหน้ามองตึกสูงระฟ้าที่เป็นย่านเศรษฐีอาศัยกัน
ที่นี่เป็นเพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางเมือง แต่ละชั้นประกอบด้วยหนึ่งห้องถ้วน พื้นที่อาศัยกว้างขวางและสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน
“เฮ้อ หรูเกินไปมั้ยเนี่ย” พิมรักบ่นอุบ พลางก้มหน้ามองชุดทำงานของตัวเอง มีบางจุดเลอะคราบกาแฟอยู่ด้วย กลายเป็นคุณหมอมอมแมมเจ้าประจำอีกแล้ว
สภาพดูไม่จืดเลยสักนิดเดียว
จะบ้าตายรายวัน..
สุดท้ายพิมรักก็หยิบมือถือขึ้นต่อสายหาเทียนอี้ ตามสิ่งที่เจ้าตัวกำชับไว้ทางข้อความ รอไม่นานปลายทางก็กดรับสาย
“ฉันมาถึงแล้วค่ะคุณเทียน”
( เดี๋ยวลงไปรับ )
พูดจบก็กดวางสายใส่อีกเช่นเคย ทำเอาเธอระบายลมหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ ควรทำใจให้ชินกับนิสัยอีกฝ่ายสินะ
ยังไงก็ต้องเจอหน้ากันตลอดทั้งหกเดือน..
ร่างบางเข้าไปนั่งรออยู่ที่หน้าล็อบบี้ สายตากวาดมองความใหญ่โตโอ่อ่าไปทั่วบริเวณ แล้วเผลอนึกถึงเม็ดเงินที่หมุนสะพัดในบัญชีคนรวยอย่างลืมตัว
อ่า หนี้ก้อนโตทำเธอโลภมากอีกแล้ว
“พิมรัก”
“คุณเทียน”
พิมรักลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ฉับพลันดวงตากลมโตก็เบิกโพลง เมื่อคนตัวสูงกว่าเดินเข้ามาโอบเอวอย่างถือวิสาสะ
“ทำอะไรของคุณเนี่ย”
“เธอความจำเสื่อมเหรอ”
“ฉันรู้หรอกค่ะว่าสถานะของเราคืออะไร แต่มันแค่ไม่ชินเท่านั้นเอง คุณควรให้เวลาฉันบ้างสิ”
“เดี๋ยวก็ชิน”
เทียนอี้ลอยหน้าลอยตาไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ท่อนแขนโอบกระชับเอวบางแล้วพาไปที่ลิฟต์ มือแตะคีย์การ์ดที่ขึ้นไปยังชั้นของเขาโดยตรง
“ทำไมเกร็งเหรอ”
“ถามมาได้”
“ทีเมื่อคืนยังปีนตักคนอื่นอยู่เลย”
ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะแค่นเสียงในลำคอด้วยความชอบใจอีกต่างหาก
รู้อยู่ไม่ต้องย้ำให้มากนัก
แค่นี้ก็อายจนจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว
“ลืมมันไปเถอะค่ะ ฉันแค่เสียสติไปชั่วขณะ”
“โดนทิ้งจนสติฟั่นเฟือนเหรอคุณหมอ”
“ฉันทิ้งเขาต่างหาก กรุณาเข้าใจให้ถูกด้วย”
พิมรักหลับตาลงเพื่อปรับอารมณ์คุกรุ่น สายตาจดจ่อมองตัวเลขชั้นลิฟต์ที่กำลังขึ้นสูง ไม่ได้ให้ความสนใจคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่ แม้จะรู้ตัวดีว่าเมื่อคืนเผลอทำสิ่งน่าอายลงไป
อยากจิกทึ้งหัวตัวเองชะมัดเลย
จากนี้จะไม่กินเหล้าอีกแล้ว..
“แล้วคุณเรียกฉันมามีอะไรคะ” เธอเปิดปากถามทันที ที่เดินเข้ามายืนใจกลางห้องโถงรับแขก
“อาบน้ำสิ” เขาเปรยสายตามองแล้วออกคำสั่ง
“อาบน้ำเหรอ มะ.. หมายความว่ายังไง”
“หมายความว่ากินข้าวล่ะมั้ง”
เทียนอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองหญิงสาวที่ดูตื่นตระหนก ไม่ต่างจากกระต่ายตื่นตูมเลยสักนิด
นึกว่าจะเตรียมใจมาแล้วเสียอีก
“ไม่ใช่ ทำไมคุณถึงให้ฉันอาบน้ำคะ” พิมรักถามออกไปราวกับคนโง่งม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าหลังจากนี้ต้องเจออะไร
“ถ้าสติไม่ได้ฟั่นเฟือน ก็ต้องรู้ตัวสิว่าเธออยู่ในฐานะอะไร”
“วันนี้เลยเหรอ สภาพฉันมันยั่วใจคุณขนาดนั้นเลยหรือไง”
สาวเจ้าทำหน้างอง้ำ สภาพเธอหลังจากทำงานทั้งหัวฟูไม่เป็นทรง หน้าตาก็แทบจะไม่มีเครื่องสำอางหลงเหลือแล้ว
สภาพแบบนี้เหรอที่ดึงดูดเขาน่ะ
เทียนอี้ไม่ตอบคำถาม แต่ย่างกรายตรงเข้ามาหา พลางใช้สายตาไล่สำรวจเรือนร่างอรชรแล้วยกยิ้มชอบใจ
สภาพนี้แหละถูกใจเลย
“สภาพนี้ก็ยั่วใจดี”
“เหอะ ประหลาดคน”
ร่างสูงหมุนตัวกลับไปนั่งรอที่โซฟา สายตาตวัดมองเชิงออกคำสั่งโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำพูด
สุดท้ายร่างบางก็เดินเข้าห้องน้ำไป ท่ามกลางอาการใจเต้นล่ำไม่เป็นส่ำ พอปิดประตูลงก็เงยหน้ามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก
นึกหวนไปยังเหตุการณ์เมื่อคืน เธอจูบกับเขาเพื่อแลกมาด้วยเงินห้าหมื่นบาท แต่น่าแปลกที่การได้จูบกับเทียนอี้มันไม่ได้รู้สึกแย่เลย
ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ..
ตัดความรู้สึกเล็กน้อยออกไปก็ไม่ได้แย่เลย
เธอคงอกหักจนประสาทกลับแล้วแน่ ที่ดันอยากลองโลดโผนไปกับความสัมพันธ์ชวนวาบหวาม
หากได้เป็นผู้หญิงของเทียนอี้แล้วได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงไม่ใช่หรอกเหรอ ไม่ต้องมีสถานะหรือผูกพัน ก็แค่เล่นสนุกกันเพื่อตอบสนองความต้องการเท่านั้น
ไม่มีอะไรในชีวิตสำคัญกว่าเงินอีกแล้ว..
“จูบกับเขา.. ก็ไม่แย่เท่าไหร่”