บทที่ 3 หุบเขาหมื่นเงา
~ฟิ้ว ฟิ้ว~
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน เฟิงหลงเหยียนยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน มองลงไปยังหุบเขาหมื่นเงาที่เต็มไปด้วยหมอกหนาและเงาร่างของต้นไม้บิดเบี้ยว ดวงตาของเขานิ่งลึก เผยความมุ่งมั่นที่ไม่มี
สิ่งใดทำให้สั่นคลอนได้
“หุบเขานี้…ช่างสมชื่อยิ่งนัก”
เสียงทุ้มนุ่มพึมพำเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงสู่ป่าเบื้องล่าง
ขณะที่ต้นไม้ในป่าทอดเงายาวเหมือนมือปีศาจยื่นออกมารวบตัวผู้บุกรุก เสียงสัตว์ป่าดังระงมจากทุกทิศทาง แต่หลงเหยียนเดินอย่างระมัดระวัง เขารู้ดีว่าทุกก้าวที่ย่างไปคืออันตราย
ไม่นานนัก เสียงคำรามดังสนั่นขึ้นมาจากเบื้องหน้า เงาร่างมหึมาพุ่งผ่านหมอกออกมา สัตว์ร้ายขนสีดำสนิท ดวงตาสีแดงเพลิง มีเขาแหลมสองข้างที่ดูราวกับคมดาบ
“อสรพิษเขาวายุ…”
เฟิงหลงเหยียนพึมพำ รู้ทันทีว่ามันคือสัตว์ร้ายของเผ่าปีศาจที่มีพลังมหาศาล
อสรพิษเขาวายุจ้องมองเขาอย่างกระหาย ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีด้วยความรวดเร็ว สายลมรอบตัวเริ่มหมุนวนเหมือนพายุ ใบไม้และกิ่งไม้ปลิวกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่โดยรอบ
หลงเหยียนยกมือขวาขึ้น ตบะที่ถูกพรางไว้อย่างแนบเนียนเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย เขายังไม่ต้องการเปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมา
“เจ้าคิดว่าจะหยุดข้าได้หรือ?”
เขากล่าวเสียงเย็น
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เฟิงหลงเหยียนกระโดดหลบไปด้านข้าง พร้อมกับชักกระบี่ออกมาจากฝัก คมกระบี่สะท้อนแสงวูบหนึ่ง ก่อนจะฟันตรงจุดตายของอสรพิษเขาวายุ
ฉับ!
เลือดสีดำพุ่งกระจาย อสรพิษล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังสนั่น
หลงเหยียนเช็ดกระบี่ด้วยผ้าขาว ก่อนเก็บกลับเข้าไปในฝัก
“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”
เขาพึมพำกับตัวเอง
ณ จุดลึกสุดในหุบเขา
เมื่อมาถึงสถานที่ลึกสุดของป่า เฟิงหลงเหยียนหยุดยืนมองภาพตรงหน้า บริเวณนั้นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่เข้มข้น หมอกสีทองลอยคลุมพื้นที่รอบบริเวณกลางลานกว้าง และที่ใจกลาง
ลานนั้น มีแสงสีขาวเหลืองทองเรืองรองพุ่งขึ้นสู่ฟ้า
“ดอกบัวนิรันดร์…”
เสียงทุ้มนุ่มพึมพำ เขารู้ว่าดอกบัวกำลังจะปรากฏขึ้น ตามที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กล่าว แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องนิ่งงันคือ ผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมรอแย่งชิง ทั้งเผ่าปีศาจที่มีร่างกายใหญ่โตจนเกินมนุษย์ และเซียนจากสำนักต่าง ๆ ที่ดูทรงพลังแต่เต็มไปด้วยความโลภ
เฟิงหลงเหยียนคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะใช้พลังลึกลับพรางตบะของตนเองให้ดูเหมือนเป็นเพียงเซียนธรรมดาไม่ใช่เทพ สองขาก้าวเท้าเข้าไปในฝูงชนที่ต่างจับจ้องไปยังจุดที่ดอกบัวกำลังจะปรากฏ
“เจ้ามาจากสำนักใด?”
ชายผู้หนึ่งถามเสียงแข็งเมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้
“ข้าเป็นเพียงเซียนพเนจร มิได้สังกัดสำนักใด”
เฟิงหลงเหยียนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ชายผู้นั้นจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเยาะ
“คนธรรมดาเช่นเจ้าหวังจะแย่งดอกบัวงั้นรึ? อย่าได้คิดให้เสียแรง”
หลงเหยียนเพียงพยักหน้าไม่ตอบโต้ แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น
ไม่นานนัก แสงสีขาวที่พุ่งขึ้นสู่ฟ้าก็สั่นไหว ดอกบัวสีทองที่งดงามไร้ที่ติเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงลมหายใจที่หนักหน่วงของทุกคน
“ดอกบัวนิรันดร์! มันปรากฏแล้ว!”
เซียนคนหนึ่งร้องเสียงดัง
ทันใดนั้น ความเงียบก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงคำรามและเสียงอาวุธที่ฟาดฟัน ผู้คนเริ่มเปิดศึกแย่งชิงดอกบัว เผ่าปีศาจบางกลุ่มกวาดล้างผู้ที่ขวางทางอย่างไร้ปรานี ขณะที่เซียนจากสำนักต่าง ๆ ก็ใช้คาถาและอาวุธวิเศษโจมตีใส่กัน เพื่อแย่งชิงดอกบัว
เฟิงหลงเหยียนยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความนิ่งสงบ เขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไปแย่งชิงเช่นคนอื่น แต่ค่อย ๆ ก้าวเท้าอย่างมั่นคงเข้าใกล้จุดที่ดอกบัวปรากฏ
“ปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเองก่อน”
เขาคิดในใจ
ในที่สุด เขาก็มาถึงบริเวณใกล้ดอกบัวโดยไม่มีใครสังเกต นัยน์ตาสีนิลจับจ้องไปยังดอกบัวสีทองที่เรืองรองอย่างสง่างาม มันช่างดูเหนือกว่าคำบรรยายใด ๆ พลังวิญญาณของมันแผ่ออกมารอบตัว ราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งน่าหลงใหลและน่าเกรงขาม
“ฟางเสียนหลี… ข้าจะนำสิ่งนี้กลับไปเพื่อคืนชีวิตให้เจ้า”
เขาพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเตรียมตัวเข้าสู่การแย่งชิงครั้งสำคัญที่กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริง…
รอบลานหิน ผู้คนจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ต่างพยายามเบียดเสียดเข้ามาเพื่อจับจองพื้นที่ใกล้ดอกบัว แต่ไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นไปบนแท่นหิน พวกเขารู้ดีว่าก่อนจะเข้าถึงดอกบัวต้องผ่านกลไกคุ้มครองที่อันตรายถึงชีวิต
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีฟ้าสว่างยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าเขาคมคาย แต่นัยน์ตากลับฉายแววเย่อหยิ่ง
"ดอกบัวนิรันดร์นี้ควรตกเป็นของข้า!"
เขาประกาศเสียงดัง
เสียงหัวเราะแหลมดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของลาน ชายในชุดสีดำสนิท ผิวซีดเผือด และมีเขางอกเล็ก ๆ บนศีรษะ ซึ่งบ่งบอกว่าเขาเป็นเผ่าปีศาจ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"เจ้า? เซียนระดับปานกลางอย่างเจ้า ไม่มีทางได้แตะต้องมันหรอก!"
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นทันที พร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างหงุดหงิดดังขึ้นจากอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นหญิงสาวในชุดเขียวอ่อน เธอถือกระบี่เล่มบาง มือข้างหนึ่งสะบัดผ้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
"หากพวกเจ้าต้องการแย่งชิง ก็มาลองกันดูสิ ข้าจะจัดการพวกเจ้าทั้งหมดเอง"
เฟิงหลงเหยียนมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาเยือกเย็น แม้จะมีเซียนและปีศาจหลายสิบตนในบริเวณนี้ แต่เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าปะทะอย่างตรงไปตรงมา เขาค่อย ๆ ขยับตัวไปยังจุดที่ลานหินเชื่อมกับป่าโดยที่ไม่มีใครสังเกต
เมื่อมาถึงจุดที่มองเห็นดอกบัวได้ชัดที่สุด เขาก็เริ่มสัมผัสถึงกลไกคุ้มครองที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวถึง พลังงานที่แผ่ซ่านรอบดอกบัวนั้นไม่เพียงแค่ทรงพลัง แต่มันยังแฝงด้วยอารมณ์บางอย่างราวกับกำลังทดสอบผู้ที่พยายามจะเข้าใกล้
“ดอกบัวนิรันดร์…”
เฟิงหลงเหยียนพึมพำเสียงเบา เขายกมือขึ้นแตะที่หน้าอกตัวเองเพื่อเรียกสมาธิ
“เจ้าต้องรอข้า... ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครชิงเจ้าไป”
ขณะเดียวกัน บนลานหินเริ่มเกิดการปะทะ เซียนสำนักต่าง ๆ และเผ่าปีศาจที่ทะเยอทะยานต่างใช้พลังของตนอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ ชายชุดฟ้าโจมตีด้วยกระบี่ที่แผ่ไอเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง หญิงสาวชุดเขียวตอบโต้ด้วยพลังสายลมที่เฉียบคม ร่างของเซียนระดับล่างบางคนถูกปลิวกระเด็นออกจากลานหินไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เผ่าปีศาจเองก็ไม่ได้อ่อนข้อ ชายผิวซีดในชุดดำเรียกพลังอักขระสีแดงเลือดพุ่งใส่ฝ่ายตรงข้าม พื้นดินรอบลานหินเต็มไปด้วยหลุมลึกและรอยแตกร้าว
เฟิงหลงเหยียนมองดูภาพความโกลาหลนั้นก่อนจะกระตุกยิ้ม
บาง ๆ
"ให้พวกเขาต่อสู้กันจนหมดแรงก่อนเถอะ ข้าจะรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม"
เขาไม่ใช่คนที่หลงระเริงในพลังหรือความเย่อหยิ่ง เขาเชื่อว่าความอดทนและความรอบคอบคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จ
เมื่อการต่อสู้อันดุเดือดเริ่มสงบลง เฟิงหลงเหยียนก็ก้าวออกจากเงามืด เขาปลดปล่อยพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยเพื่อพรางตัวเป็นเซียนธรรมดา เขาเดินตรงเข้าไปยังดอกบัวที่กำลังเรืองแสงโดยไม่ทำให้ใครรู้สึกถึงอันตราย
“เวลานี้…เป็นของข้า”
เขาพึมพำในใจ
ทันทีที่เข้าใกล้ดอกบัว พลังของมันพลันแผ่ซ่านออกมา ราวกับจะต่อต้านการรุกราน เฟิงหลงเหยียนขยับมือหนึ่งเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือไปสัมผัส
เมื่อมือของเขาแตะกลีบดอกบัว เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังอันอ่อนโยน แต่ทรงอานุภาพ ดอกบัวสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หุบกลีบลง และเข้าสู่สภาพที่ดูเหมือนดอกบัวธรรมดา
“เจ้าคือของข้าแล้ว”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง ก่อนจะรีบเก็บดอกบัวลงในกล่องหยก และหายตัวไปในพริบตา
เสียงต่อสู้ที่เงียบลงแล้วเหลือเพียงสายลมพัดผ่าน ใครบางคนเริ่มสังเกตเห็นว่าดอกบัวสีทองได้หายไป
“ใคร! ใครชิงดอกบัวไป!”
ชายชุดฟ้าตะโกนลั่น ขณะที่ทุกคนในลานเริ่มแตกตื่น
แต่สำหรับเฟิงหลงเหยียน เขาได้หลุดพ้นจากความวุ่นวายเหล่านั้นแล้ว และนี่เป็นก้าวแรกของเขาสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง...