แผนซ้อนแผน
“พี่อรรถขำอะไร”
“ขำน้องพริกนั่นแหละค่ะ”
“พริกทำไม”
“น่ารักดีค่ะ”
จากอารมณ์กรุ่น ๆ เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเขินฉับพลัน แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวจนต้องรีบหลุบตาลง เพื่อหลีกหนีจากนัยน์ตาคู่คมที่มองมายังเธอด้วยแววตาพราวเป็นประกายคล้ายกำลังเอ็นดู ซึ่งเป็นแววตาที่ทำให้ใจเธอเหลวเป็นน้ำ สั่นไหวทุกครั้งที่เขามองเธอด้วยแววตาเช่นนี้
“กินต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวต้มยำจะเย็นก่อน ไม่อร่อยนะ” อรรถกรยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปตักผัดคะน้าน้ำมันหอยที่วางอยู่ไกลมาใส่จานให้อีก ด้วยเห็นว่าเธอคงตักเองไม่ถึง จากนั้นก็คอยตักอย่างอื่นให้อีกเรื่อย ๆ
ชายหนุ่มไม่รู้สึกประดักประเดิดกับสิ่งที่กำลังทำ ท่าทีเขาเป็นธรรมชาติมาก เพราะทุกครั้งที่นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน เขาก็มักจะบริการเธออย่างนี้เป็นปกติอยู่แล้ว
นั่งกินข้าวกับอรรถกรทีไร หญิงสาวแทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย เนื่องจากอีกฝ่ายดูแลดีทุกอย่าง
เพราะเอาใจใส่ดีอย่างนี้นี่ไง สาว ๆ ถึงได้ติดเขาเป็นแถบ ๆ
เมื่อเริ่มอิ่ม เธอก็แตะแขนแกร่งเบา ๆ เป็นการส่งสัญญาณให้เขาหยุดตักกับข้าวมาให้ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ระหว่างนั้นหูก็ฟังที่เขาคุยกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน เพราะนาน ๆ ถึงจะได้เจอหน้ากันครบแก๊งสี่หนุ่ม ซึ่งประกอบด้วยไตรวิทย์ นวพล วริศ และอรรถกร โดยสามคนแรกแต่งงานและมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว จึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาว่างมาเจอกันสักเท่าไร
“พี่อรรถ พริกมีเรื่องจะคุยด้วย” พัชรีนาฎเอ่ยบอกคนข้าง ๆ เมื่อสบโอกาส เธออยากรีบคุยกับเขาให้รู้เรื่องด้วยแหละ จะได้ปลีกตัวไปทำอย่างอื่น
“หือ เรื่องอะไรคะ” เจ้าของเครื่องหน้าคมคายละสายตาจากเพื่อนหันมาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามสไตล์
“เรื่องที่พริกจะต้องย้ายไปอยู่กับพี่อรรถ” พอเห็นเขาพยักหน้ารับรู้และไม่ได้มีท่าทีแปลกใจ ก็ชัดเจนว่าเขารู้อยู่แล้วจริง ๆ เธอจึงเอ่ยต่อ “คุยตรงนี้หรือไปคุยที่อื่นดีคะ”
แม้เพื่อนของเขาจะรู้เรื่องทั้งหมด แต่เธอก็อยากได้ความเป็นส่วนตัวในการคุยอยู่ดี
“ไปมุมนู้นก็ได้ค่ะ” ชายหนุ่มบุ้ยใบหน้าไปยังศาลาไม้สีขาวข้างบ้าน ซึ่งตอนนี้ไม่มีคนนั่ง ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนที่ยังคุยกันอย่างเฮฮา “เดี๋ยวกูมา”
ร่างบอบบางเดินนำออกไปก่อน ส่วนเขาก็เดินตามไปติด ๆ เมื่อถึงจุดหมายเธอก็หันหลังกลับมาเปิดประเด็นกับคนตัวสูงทันที ทั้งสองคนไม่ได้ขึ้นไปนั่งบนศาลา ด้วยคิดว่าคงใช้เวลาคุยไม่นาน
“พี่อรรถ ทำไมพริกต้องย้ายไปอยู่กับพี่อรรถด้วยอะ ที่เราคุยกันไว้มันไม่ใช่แบบนี้นี่คะ”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยเบา ๆ คล้ายว่าเขาเองก็หนักใจ เพราะเขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าจะเป็นอย่างนี้เช่นกัน เพิ่งจะรู้เมื่อเช้าก่อนเข้าพิธีหมั้นกับเธอนั่นแหละ
“คุณย่าของพี่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน จะได้มีเวลาเรียนรู้กันมากขึ้น”
“แล้ว ?”
“พี่ไม่อยากขัดใจท่าน” คนตัวสูงเอ่ยเสียงอ่อนใจ คุณย่าเกสรเป็นย่าแท้ ๆ ของเขา และท่านเป็นคนเดียวที่ชายหนุ่มเคารพรักมากที่สุดในบ้าน อาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต ท่านไม่เคยบังคับหรือขอให้เขาทำอะไร ท่านมักจะตามใจเขาทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องที่เขาเลือกทำธุรกิจกลางคืนแทนการเข้าไปรับช่วงต่อธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศแบบเต็มตัว เวลามีใครสักคนในครอบครัวเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา หญิงวัยชราก็มักจะออกหน้าแทนเขาทุกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า ชีวิตเป็นของเขา ให้เขาเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง
ทว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณย่าเป็นห่วง ซึ่งค่อนข้างที่จะห่วงถึงขั้นกังวลมากในตัวเขา นั่นก็คือเรื่องคู่ครอง
คุณย่าเกสรอยากเห็นหลานชายสุดที่รักเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนถึงเวลาที่ท่านจะต้องจากโลกนี้ไป
เป็นเรื่องเดียวที่ท่านเอ่ยปากขอมาตั้งแต่อรรถกรอายุสามสิบ จนตอนนี้เหลืออีกหนึ่งปีจะถึงสี่สิบ หากเขายังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนสักที พูดง่าย ๆ คือยังไม่เจอคนที่ใช่
เขาเคยมีแฟนที่คบกันแบบจริงจังนะ เคยคิดว่านี่แหละคือคนที่ใช่ ทว่าพอคบกับไปสักระยะก็พบว่าเข้ากันไม่ได้หลายอย่าง สุดท้ายก็จบที่การเลิกรากันไป
ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนขี้เบื่ออย่างตนสมควรใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงแบบไหน หรือจะมีใครรับนิสัยของเขาได้ ไม่ใช่ว่ารับได้แค่แรก ๆ หากพอผ่านไปสักระยะก็มาเรียกร้องนั่นนู่นนี่จนน่ารำคาญ เขาไม่ชอบให้ใครมาจู้จี้จุกจิก หรือแสดงความเป็นเจ้าของมากเกินไป แต่ส่วนมากที่เคยเจอมักจะเป็นอย่างนั้น เลยได้แต่ยืดเวลาออกมาเรื่อย ๆ
กระทั่งคนเป็นย่าหมดความอดทนในที่สุด ท่านจึงตัดสินใจทาบทามพัชรีนาฎซึ่งเป็นลูกสาวของพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจคนสำคัญให้เขาด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าคุณย่าของเขาไม่ใช่คนฉลาดน้อย ชายหนุ่มคิดว่าท่านคงรู้ทันความคิดของหนุ่มสาว ที่คงจะยอมหมั้นกันแบบผ่าน ๆ แล้วค่อยไปถอนหมั้นกันทีหลัง หญิงมากวัยจึงวางแผนทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้เขากับพัชรีนาฎลงเอยกันให้ได้ และการให้ทั้งสองคนอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันก็เป็นหนึ่งในแผนการนั้น
ความจริงอีกอย่างคือคุณย่าของเขาเป็นแฟนคลับตัวยงของช่อง Prikzy Channal กดติดตามทุกช่องทางที่มี ไม่ว่าจะเป็น YouTube TikTok Facebook หรือแม้กระทั่ง Instargram ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าย่าของตนไปโดนพัชรีนาฎตกตั้งแต่เมื่อไร ถึงขั้นอยากได้มาเป็นหลานสะใภ้มากขนาดนี้
“แล้วจะทำยังไง พี่อรรถสะดวกจะให้พริกย้ายไปอยู่ด้วยจริงเหรอ” หญิงสาวถามอย่างเป็นกังวลใจ ขัดใจเพราะโดนผู้ใหญ่บงการก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่มากไปกว่านั้นเธอกลัวเขาจะไม่สะดวก อรรถรขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงมากแค่ไหนใครก็รู้ เธอไม่อยากเข้าไปเป็นตัวขัดเวลาที่เขาจะพาใครมาทำอะไร ๆ ในพื้นที่ส่วนตัวหรอกนะ
“พี่สะดวกนะ ไม่ได้ติดอะไร” เขาตอบง่าย ๆ แม้จะเป็นคนหวงพื้นที่ส่วนตัว แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องแบ่งปัน เขาก็ยินดี ยิ่งกับคนตรงหน้าเขาก็ยิ่งยินดี ถือเสียว่าใช้ชีวิตอยู่กับน้องสาว อรรถกรคิดแค่นั้นจริง ๆ
“แต่ของพริกเยอะมาก ไหนพริกจะต้องทำงานอีก”
“บ้านพี่ก็กว้างอยู่นะ” ชายหนุ่มมักจะเรียกเพนต์เฮาส์สองชั้นขนาดสามร้อยตารางเมตรว่าบ้าน “มีห้องว่างหลายห้อง พริกจะใช้กี่ห้องก็ได้ค่ะ พี่ไม่ว่า”
“แต่คือปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นไงพี่อรรถ” ใบหน้าสวยยุ่งนิด ๆ เพราะจริง ๆ เรื่องข้าวของเธอไม่ได้ซีเรียสหรอก อีกหน่อยออฟฟิศใหม่ของเธอคงจะรีโนเวตเสร็จ ที่นั่นมีห้องเก็บของและจะเป็นสถานที่ทำงานใหม่ของเธอกับทีมงาน
“แล้วมันอยู่ตรงไหนคะ”
หญิงสาวเบียดริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหากัน มองหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุด “…คือถ้าพี่อรรถพาผู้หญิงมาแล้วพริกไปอยู่ตรงไหน”
คราวนี้อรรถกรหลุดขำเบา ๆ เมื่อเธอเอ่ยเรื่องที่กังวลจริง ๆ ออกมา เธอคงคิดว่าเขาจะพาผู้หญิงไปมีอะไรที่บ้านสินะ
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอก พี่ไม่พาใครไปที่บ้าน” เธอมองหน้าเขาเหมือนไม่เชื่อ จึงยืนยันอีกครั้ง “พี่พูดจริง ๆ นะคะ พี่ไม่พาใครไปที่บ้านนานแล้ว ขี้เกียจมีปัญหา”
สมัยยังอยู่คอนโดเก่า เขาเคยพาสาวไปที่นั่นหลายคน ก่อนไปก็ตกลงกันอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างจะจบภายในคืนนั้นคืนเดียว ถ้าติดใจหรืออยากสานต่อค่อยมาตกลงกันตอนเช้าวันถัดมา ซึ่งต้องยินยอมกันทั้งสองฝ่าย หากก็น่าเสียดายที่เขาไม่คิดอยากจะผูกปิ่นโตกับใคร
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อมีคนพูดรู้เรื่องก็ย่อมต้องมีคนพูดไม่รู้เรื่อง
มีหลายครั้งที่ผู้หญิงพวกนั้นตามตื้อเขาถึงที่ แม้คอนโดมิเนียมแห่งนั้นจะมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีเยี่ยม แต่พวกหล่อนก็จะวิธีขึ้นมาวุ่นวายถึงหน้าห้องเขาจนได้ ที่ใครหลายคนบอกว่าผู้หญิงน่ากลัว ก็คงจะจริงอย่างที่ว่ากัน ทว่าอรรถกรไม่ได้กลัวหรอก เพียงแค่รำคาญ
เมื่อสบโอกาสย้ายที่อยู่ใหม่ ชายหนุ่มจึงตัดปัญหาด้วยการไม่พาผู้หญิงคนไหนไปที่เพนต์เฮาส์เลย ฉะนั้นคืนเร่าร้อนของเขาจึงมักจะจบอยู่ที่โรงแรมไหนสักแห่งเท่านั้น เพราะมันควบคุมง่ายกว่าน่ะ
“เชื่อได้ไหมเนี่ย” พัชรีนาฎก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี “ไม่ใช่ว่านอน ๆ อยู่พริกต้องระเห็จออกจากห้องกลางดึกหรอกนะ”
“จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ” เขายืนยัน น้ำเสียงเขานุ่มนวล ทว่าแววตาหนักแน่น มั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอย่างแน่นอน แต่ก็มิวายหยอกเย้าคนตัวเล็กที่ยังคิ้วขมวด “อีกอย่างบ้านพี่เก็บเสียงทุกห้อง ไม่เล็ดลอดเข้าหูน้องพริกแน่นอนค่ะ”
มันใช่ไหมเนี่ย!
คราวนี้หน้าเธอยับยุ่งยิ่งกว่าเดิมเสียอีก อรรถกรหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ยกมือขยี้ศีรษะน้องอย่างมันเขี้ยว ก่อนเอ่ยเสียงจริงจัง “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นค่ะ พี่ไม่เคยพาใครไปที่บ้านจริง ๆ พริกสบายใจได้”
“เฮ้อ...” พัชรีนาฎถอนหายใจ “พริกต้องย้ายไปอยู่กับพี่อรรถจริง ๆ ใช่ไหม ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ”
“ไม่น่าจะมีนะคะ” เขายิ้มอย่างจนใจ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เหมือนคุณย่าจะรู้ทันเขาไปหมดทุกอย่าง “น้องพริกไม่ต้องคิดมาก ถึงเราจะอยู่บ้านเดียวกัน แต่พี่คิดว่าเราไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”
“ทำไมคะ”
“ก็เราใช้ชีวิตคนละไทม์โซนไงคะ พริกทำงานกลางวัน ส่วนพี่ออกไปทำตอนกลางคืน อยู่ด้วยกันก็เหมือนไม่อยู่แหละค่ะ”
จริงด้วยแฮะ
อรรถกรมักจะใช้ชีวิตตอนกลางคืนเสียส่วนใหญ่ เขาชอบปาร์ตี เข้าสังคม แต่จะเรียกว่าเป็นการเที่ยวหรือท่องราตรีก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะมันเป็นงานของเขาด้วย
ชายหนุ่มหุ้นกับเพื่อนเปิดผับและบาร์หลายแห่งในย่านธุรกิจ และขยายไปตามโลเกชันยอดฮิตในกรุงเทพมหานคร ส่วนต่างจังหวัดก็มีขยายออกไปบ้าง แต่ก็ยังไม่มากสักเท่าไร
ตอนแรกเขากะว่าจะหุ้นเล่น ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ ผับที่เปิดกลับทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ทว่าช่วงหลังนวพลซึ่งเป็นคนชักชวนเขามาจับธุรกิจนี้ดันติดลูกติดเมีย ไม่ค่อยมาดูแลกิจการที่สร้างมากับมือ มิหนำซ้ำยังหน้าด้านโยนหน้าที่ทุกอย่างมาให้อรรถกรที่ตั้งใจว่าจะหุ้นด้วยขำ ๆ แต่กลายเป็นว่าเขาต้องมาควบคุมทุกอย่าง
ชายหนุ่มไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่ต้องทำงานแทนเพื่อนหรอก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนวพลเองก็แฟร์ในเรื่องผลประโยชน์ อีกส่วนก็เพราะเขายังมีแพชชันกับการทำงานในด้านนี้เต็มเปี่ยม ยังคงชื่นชอบชีวิตตอนกลางคืน จึงตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีสิ่งอื่นมาทำให้เขาชอบได้มากกว่า
เขาคาดหวังนะว่าจะเจอสิ่งนั้นในสักวัน...