“คุณพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
ภัสสรปฏิเสธเสียงแข็ง เคิร์กเห็นแบบนั้นก็อดส่ายหน้าน้อยๆ อย่างดูแคลนไม่ได้ เขาไม่เชื่อถือคำพูดของภัสสร ไม่เลยสักนิด
“ความจริงอยู่ตรงหน้าคุณก็ยังกล้าปฏิเสธ แต่ก็เอาเถอะ ไม่ว่าคุณจะหวังอะไร คุณจะไม่มีทางสมหวังหรอก ผมขอย้ำไว้ตรงนี้ แล้วอย่าคิดวางแผนอะไรโง่ๆ อีก เพราะมันจะไม่มีทางสำเร็จ”
“กล่าวหากันเกินไปแล้วนะ”
“งั้นเหรอ ฮึ”
เคิร์กเหยียดยิ้ม ดวงตาคมกริบจ้องไปที่ภัสสรผ่านศีรษะของเขมรดาที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาไม่เห็นว่าเขมรดาแสดงสีหน้าเช่นไร
แต่ภัสสรเห็น
เห็นสีหน้าที่จวนเจียนจะร้องไห้ของเขมรดา
“ออกมานี่ ฉันกับเธอต้องคุยกัน”
เขมรดาปลิวไปตามแรงกระชากของภัสสร ดวงตาของภัสสรจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเคิร์กที่กำลังขมวดคิ้วนิดๆ และตอนที่กล่าวออกไปภัสสรก็ไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าคมคายนั่นเลย
“ฉันขอบอกไว้ตรงนี้เหมือนกัน ว่าฉันไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าฉันเป็นคนวางแผนละก็ คนที่อยู่ในห้องนี้ต้องไม่ใช่เขมรดาแน่”
คิ้วหนาที่พาดเหนือดวงตาสีเฮเซลนัทขยับเข้าหากันแน่นมากกว่าเดิมตอนที่เห็นภัสสรลากเขมรดาออกไป มีอยู่สองอย่างที่เขาคิดในตอนนี้นั่นก็คือข้อหนึ่งภัสสรไม่รู้เรื่องจริงๆ และข้อสองนั่นก็คือภัสสรกับเขมรดากำลังเล่นละครตบตาเขา
แต่แน่นอนว่าเคิร์กเลือกที่จะเชื่ออย่างหลังมากกว่าอย่างแรก
เขาจะยังไม่ทำอะไรมากไปกว่าการระวังตัวให้มากกว่านี้ และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เคิร์กไม่ต้องการกลับมานอนที่บ้าน แม้จะผูกพันและหวงแหนมากแค่ไหนก็ตาม เพราะเขาจะไม่มีวันนอนหลับได้อย่างสนิทและอยู่ได้อย่างสบายใจหากมีภัสสรอยู่ในบ้านหลังนี้
และที่สำคัญเขาไม่ต้องการทะเลาะกับผู้เป็นบิดา
เคิร์กสลัดเรื่องที่น่ารำคาญใจออกไปจากหัว ร่างสูงสาวเท้าไปหยิบกุญแจรถที่โต๊ะเล็กข้างเตียง แต่ก่อนที่ขายาวจะก้าวออกไปจากห้อง เขาแวะไปที่ตู้เย็น หยิบเหยือกน้ำที่เทดื่มเมื่อคืนติดมือไปด้วย
เขาต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง
“บอกฉันมานี่มันเรื่องบ้าอะไร ฉันให้เธอขึ้นมาเอาโทรศัพท์ที่ห้อง แต่เธอกลับหายไปทั้งคืน แล้วไปโผล่อยู่ในห้องของคุณเคิร์กได้ยังไง”
ภัสสรถามเสียงเกรี้ยวกราดตอนที่เหวี่ยงเขมรดาเข้ามาในห้อง เขมรดาสูญเสียการทรงตัวเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นล้มลง
“ขิมก็มาเอาโทรศัพท์ตามที่คุณน้าบอก ขิมถามคุณแม่บ้านแล้วนะคะว่าห้องคุณน้าอยู่ตรงไหน แล้วเค้าก็บอกให้ขิมขึ้นมาข้างบน ให้เดินมาทางปีกซ้ายของตึก แต่คฤหาสน์นี้กว้างมาก และขิมก็เพิ่งมาครั้งแรก”
“เข้าห้องผิดนั่นคือข้ออ้างของเธอใช่ไหม ห้องของฉันอยู่ทางปีกขวาซึ่งก็คือห้องนี้ เธอจะมาบอกว่าห้องของฉันอยู่ทางปีกซ้ายของตึกได้ยังไง”
“แต่ขิมถามคุณแม่บ้านแล้วจริงๆ นะคะ”
“เฮ้อ เอาละๆ ถ้าเข้าห้องผิด แล้วทำไมไม่ออกมา”
“ห้องถูกล็อคจากด้านนอกค่ะ ประตูเสีย เมื่อเช้าคุณเคิร์กเพิ่งตามช่างมาปลดล็อก เพราะเมื่อคืนโทร.สายในแล้วไม่มีคนรับสายเลยค่ะ ขิมเองไม่ได้พกโทรศัพท์ ส่วนคุณเคิร์กก็ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ เลยติดต่อใครไม่ได้เลยค่ะ”
“แล้วระหว่างเธอกับคุณเคิร์กเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ”
เขมรดากลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงคอแล้วตอบ ดวงตาสีดำขลับวูบไหวก่อนจะหลุบลงต่ำเล็กน้อย นั่นทำให้ภัสสรมองมาคล้ายกำลังจะจับผิด
“แน่ใจนะ”
“ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ดี อย่ายุ่งกับคุณเคิร์กเป็นอันขาด เข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจค่ะ”
“แล้วก็อย่าลืมว่ามาเธอมาที่นี่เพราะอะไร ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีถ้าอยากกลับไปหาย่าของเธอไวๆ”
“ค่ะ”
เขมรดาได้แต่ก้มหน้ารับคำ ความรู้สึกอึดอัดท่วมท้นอยู่ในอก แต่ไม่มีทางไหนให้ได้เลือกนอกเสียจากทำตามความต้องการของภัสสร
“กลับห้องไปได้แล้ว ฉันจะให้เธอพักก่อนสักสองสามวัน แล้วจะพาเข้าไปคุยเรื่องงาน”
“ค่ะคุณน้า”
เขมรดาพาตัวเองมาที่ห้องพักซึ่งเป็นห้องรับรองแขกที่อยู่ริมสุดทางปีกซ้ายตึก มือเรียวจับที่ลูกบิดแล้วพาตัวเองเข้าไปด้านใน ทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงอย่างคนที่กำลังอ่อนแรง ในขณะที่ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นกดเบาๆ บริเวณใต้ขอบตาที่กำลังร้อนผ่าว เพื่อห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
และครั้งนี้หล่อนก็ค่อนข้างทำได้ดี
ระหว่างนั้นเขมรดาก็นึกย้อนไปถึงเรื่องของตัวเอง เรื่องที่ทำให้ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอเมริกา
เขมรดาไม่เคยรู้ว่าบ้านที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันนั้นกำลังจะถูกยึดเพราะบิดาได้จำนองเอาไว้ หลังจากที่บิดาของหล่อนป่วยหนัก รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายเดือนจนกระทั่งจากไปอย่างสงบเมื่อสามเดือนก่อน ภัสสรซึ่งเป็นเจ้านายและเป็นเพื่อนของบิดาหล่อนก็เข้ามาพร้อมยื่นเอกสารต่างๆ ให้หล่อนกับย่าเล็กซึ่งคือน้องสาวของย่า และมันก็ระบุชัดเจนว่าบิดาของหล่อนติดหนี้จำนวนหลายล้านบาท และเขมรดาที่เพิ่งจะเรียนจบบัญชีมาหมาดๆ ก็ไม่มีปัญญาจะใช้หนี้จำนวนหลายล้านบาทนั่น หากไม่มีเงินคืนภัสสรก็จะขายบ้านเพราะอีกฝ่ายจะย้ายมาอยู่อเมริกาเป็นการถาวร แต่เพราะย่าเล็กต่อรอง ภัสสรจึงยื่นเสนอทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวให้นั่นก็คือเขมรดาต้องมาทำงานที่อเมริกาเป็นเวลาสองปีหรือจนกว่าจะสามารถหาเงินมาไถ่ถอนบ้านคืนได้ เขมรดาจึงจะได้กลับบ้านอีกครั้ง
เขมรดากับย่าเล็กไม่มีทางเลือก เพราะบ้านหลังนั้นเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ และย่าเล็กก็ผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก
หล่อนเองก็เช่นกัน
นั่นคือเหตุผลที่เขมรดาต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอเมริกาโดยที่ภัสสรเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ ให้ทั้งหมด เรื่องการเดินทาง เรื่องที่พักที่ภัสสรยังใจดีอนุญาตให้เธอพักที่คฤหาสน์คาร์เตอร์ด้วยเห็นแก่บิดาผู้ล่วงลับของหล่อน แต่แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดถูกบวกเพิ่มเข้าไปในหนี้สินที่ต้องไถ่ถอนบ้านด้วย
มาถึงตรงนี้เขมรดาก็อดไม่ได้ที่จะยกปลายนิ้วเรียวขึ้นเกลี่ยน้ำใสๆ ที่ขังคลอตรงหน่วยตา หล่อนคาดหวังเหลือเกินว่านี่จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ทำให้หล่อนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง แต่เปล่าเลย เพียงแค่หล่อนมาเหยียบแผ่นดินอเมริกาไม่ถึงข้ามคืนก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นกับเคิร์ก คาร์เตอร์
แถมยังถูกอีกฝ่ายดูแคลนอย่างร้ายกาจ
และเขมรดาก็ภาวนาว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องโชคร้ายครั้งสุดท้ายในชีวิตของหล่อน
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกสูดเข้าไปในปอด เขมรดาขยับเท้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนวางโทรศัพท์มือถือเอาไว้ตรงนั้น ตอนที่เดินทางมาถึงหล่อนยังไม่ทันได้โทร.ไปบอกย่าเล็กเพราะดันเกิดเรื่องเสียก่อน และโชคดีที่ย่าเล็กของหล่อนสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารอย่างเจ้าสมาร์ตโฟนได้คล่อง ส่วนเรื่องที่ต้องปล่อยให้ย่าเล็กอยู่เพียงลำพังนั้นก็เป็นเรื่องที่หล่อนกังวลใจไม่น้อย แต่ความกังวลนั้นเบาบางลงเมื่อหล่อนได้ฝากฝังให้ประไพหรือคนที่หล่อนเรียกว่าป้าไพ เพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาเนิ่นนานและมีรั้วบ้านติดกันช่วยสอดส่องดูแล
“ดีจังเลยค่ะที่ย่าเล็กยังไม่นอน”
เขมรดาบอกเสียงใสเมื่อปลายสายกดรับและเพื่อไม่ให้คนปลายทางอย่างย่าเล็กต้องเป็นกังวลหล่อนพยายามบังคับให้น้ำเสียงร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ย่าเล็กเองก็ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงของคนเป็นหลานสาว
“เพิ่งจะสองทุ่มนิดๆ เอง เป็นอย่างไรบ้าง การเดินทางเรียบร้อยดีไหมลูก” ย่าเล็กตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเอ็นดูและเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
“เรียบร้อยดีค่ะ”
“แล้วเรื่องงานล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่ได้เริ่มเลยค่ะย่าเล็ก คุณน้าให้ขิมพักก่อนสักสองสามวันแล้วจะพาเข้าไปคุยอีกทีค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ พักผ่อนก่อน ตั้งใจทำงานไปไม่ต้องห่วงย่านะ แม่ไพเค้าดูแลย่าเป็นอย่างดี” ย่าเล็กกล่าวถึงประไพ เพื่อนบ้านที่มีรั้วบ้านติดกันและรู้จักกันมาเนิ่นนาน
“ค่ะย่าเล็ก ขิมจะตั้งใจทำงาน จะได้กลับไปอยู่กับย่าเล็กเร็วๆ นะคะ”
“จ้ะ ย่าจะรอนะ”
“ค่ะ ย่าเล็กพักผ่อนเถอะค่ะ ขิมไม่กวนแล้ว ไว้ขิมจะโทร.หาบ่อยๆ นะคะ”
“ไว้ว่างๆ ค่อยโทร.ก็ได้ลูก”
“ก็ขิมคิดถึงย่าเล็กนี่คะ”
“เอาละๆ ย่าไม่ห้ามก็ได้ลูก เอาที่ขิมสะดวกก็แล้วกัน”
“ค่ะย่าเล็ก ฝันดีนะคะ รักษาสุขภาพด้วย ขิมรักย่าเล็กนะคะ”
“ย่าก็รักขิมลูก”
รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนดวงหน้ารูปไข่แม้ย่าเล็กจะกดวางสายไปแล้ว สิ่งเดียวที่ช่วยยึดเหนี่ยวและเป็นที่พึ่งทางใจให้เขมรดามีแรงสู้ต่อก็คงจะมีแค่ย่าเล็กเท่านั้น หล่อนจะตั้งใจทำงาน และรอคอยวันที่ได้กลับไปอยู่กับย่าเล็กของหล่อนอีกครั้ง