ตอนที่ 9 ไม่มีอีกแล้ว

1001 Words
กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง... เสียงโทรศัพท์มือถือเรียกสายตาของเขาให้ละจากเอกสารตรงหน้าได้อีกครั้ง และเมื่อเขาหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง (“ไงผู้กอง มีอะไรคืบหน้าหรือยังล่ะถึงได้โทรมา”) (“มีว่ะ แต่คงคุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวก มึงว่างมั้ยไปเจอกันที่เดิมหน่อยสิ”) (“อืม งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”) เจษฎ์บอกขณะปิดแฟ้มเอกสารทั้งหมดลงแล้วหันไปปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ (“โอเค”) อีกฝ่ายกดวางสายแล้ว เจษฎ์จึงได้หันไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าเงิน ก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง แต่ยังเดินไปไม่ถึงลิฟต์ของผู้บริหารก็มีสายเรียกเข้าอีกครั้ง และคราวนี้ก็ไม่ใช่เบอร์เดิม (“ครับสิ”) (“พี่เจษฎ์เลิกงานหรือยังคะ สิอยากจะชวนไปดินเนอร์ด้วยกันค่ะ”) (“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีวันนี้พี่มีนัดกับเพื่อนแล้วน่ะ เอาไว้โอกาสหน้านะครับ”) (“เพื่อนแน่เหรอคะ ไม่ใช่ว่า...เป็นเด็กคนนั้นเหรอ”) (“สิก็เห็นแล้วนี่ครับว่าพี่กับเค้าจบกันแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ เอาไว้ไปเจอเพื่อนแล้วพี่จะถ่ายรูปมาให้ดูดีมั้ย สิจะได้สบายใจไงว่าพี่อยู่กับเพื่อนจริงๆ”) (“ได้ก็ดีเลยค่ะ งั้นสิจะรอนะคะ อย่าลืมถ่ายมาล่ะ”) (“ครับ งั้นแค่นี้นะพี่อยู่ในลิฟต์น่ะอีกเดี๋ยวสัญญาณก็คงตัดแล้ว”) (“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น...”) เขากดวางสายแล้วปิดเครื่องก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์นั้นโดยไม่คิดจะรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ เจษฎ์ใช้เวลาขับรถจากบริษัทมาถึงร้านอาหารริมแม่น้ำแห่งหนึ่งราวครึ่งชั่วโมงตามที่บอกเพื่อนไป “ตรงเวลาตลอดเลยนะมึงน่ะ” ร้อยตำรวจเอก ฤทธิชัย หรือ ผู้กองฤทธิ์ เอ่ยทักทายเพื่อนสนิทของตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม “มึงก็รู้ว่าเวลาของกูเป็นเงินเป็นทอง แล้วสรุปมีอะไรคืบหน้าบ้างล่ะ” เจษฎ์ถามขึ้นทันทีขณะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่ง “นี่ของมึง ห้าภาพกับสองคลิปล่าสุด ดูเอาเองละกัน” ผู้กองหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ ก่อนจะเลื่อนไปที่โปรแกรมรูปภาพและยื่นให้เพื่อนรักของเขาได้ดู ซึ่งเจษฎ์ก็เลื่อนดูทั้งภาพนิ่งและคลิปทั้งหมดจนครบก่อนที่สันกรามของเขาจะขบกันแน่น “แปลว่าเรามาถูกทางแล้วสินะ” เจษฎ์ส่งคืนโทรศัพท์ให้กับเพื่อนโดยไม่คิดจะส่งต่อข้อมูลเข้าเครื่องของตัวเองเพราะมันเสี่ยงเกินไป “ใช่ ข้อสันนิษฐานของมึงถูกต้องทุกอย่าง หางของมันค่อยๆ โผล่ออกมาแล้วเพราะฉะนั้นตอนนี้มึงต้องอดทนกับสิ่งที่ทำอยู่ไปก่อน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่เราเริ่มกันมาอาจจะต้องพังพินาศกันหมด” “แล้วกูต้องทนไปอีกนานแค่ไหนวะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบทำอะไรฝืนใจตัวเอง” เขาบอกอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันสำคัญเกินกว่าที่เขาจะหยุดในตอนนี้ได้ “ขอโทษนะเพื่อนที่กูยังตอบมึงไม่ได้ แต่กูจะพยายามทำให้ทุกอย่างมันจบโดยเร็วที่สุด กูสัญญา” “อืม งั้นก็ฝากมึงด้วยละกัน กูเองก็จะพยายามในส่วนของกูเหมือนกัน” “แล้วนี่ว่าที่คู่หมั้นของมึงไปไหนล่ะ ถึงได้ปล่อยมึงมาได้น่ะ ได้ยินว่าเค้าเกาะมึงหนึบเลยไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่ปู่มึงไปทาบทามให้เมื่อเดือนก่อนน่ะ” “เค้าก็โทรมาชวนไปกินข้าวนั่นแหละ แต่กูบอกว่ามีนัดกับเพื่อนแล้ว นี่ก็บอกไปเหมือนกันว่าจะถ่ายรูปมึงส่งไปให้เค้าดู” “เฮ้ย มึงจะถ่ายรูปกูจริงดิ งั้นกูขอทาแป้งให้หน้าขาวๆ หน่อยได้มั้ยวะ” ผู้กองหนุ่มบอกอย่างอารมณ์ดีขณะยกเบียร์ขึ้นจิบ “ไม่ถ่ายหรอก กูปิดเครื่องแล้ว” “อ้าว แบบนี้เค้าไม่เต้นเป็นเจ้าเข้าเลยเหรอวะ ไหนมึงเคยเล่าว่าคนนี้ขี้หึงมากไม่ใช่เหรอ” “เออ คนนี้โคตรจะขี้หึงจนกูชักจะรำคาญแล้วเนี่ย ไม่เห็นเหมือนกับ...” อยู่ดีๆ เจษฎ์ก็นึกไปถึงใครคนหนึ่งที่น่ารักและช่างเอาใจแถมยังเชื่อฟังเขาเสมอ ไม่เคยโทรตาม ไม่เคยถามว่าเขาอยู่ไหน เธอแค่รอให้เขากลับไปหา และถามเขาว่าเหนื่อยไหม จากนั้นก็หาน้ำเย็นๆ และหาขนมอร่อยๆ มาให้เขากินเสมอ ก่อนจะยอมให้เขากินเธอจนอิ่มหนำตลอดคืน เห็นจะมีแต่คืนนั้นแหละที่เธอดื้อกับเขาเหลือเกิน ไม่ยอมกลับไปรอเขาที่ห้องแถมยังกล้ามาบอกให้เขาเลือกอีก มันน่าจับกลับมาตีก้นซะจริงๆ “เหมือนใครวะ เด็กมึงที่กูเคยเจอเมื่อปีก่อนน่ะเหรอ ยังคบกันอยู่มั้ยล่ะ หรือโละทิ้งหมดแล้ว” “กูไม่ได้โละ แต่...ช่างเถอะเค้าไปตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน” “เฮ้ย! นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงโดนเด็กคนนั้นทิ้ง” “หึ! คนอย่างกูเหรอจะโดนทิ้ง มึงอย่าพูดเรื่องนี้เลย พูดแล้วหงุดหงิดเปล่าๆ” แล้วเจษฎ์ก็เรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งเครื่องดื่มและกับแกล้ม จากนั้นสองหนุ่มก็คุยกันเรื่องอื่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสี่ทุ่มก็แยกย้ายกันกลับ และสาบานได้เลยว่าเขาไม่ได้คิดจะกลับมาที่ห้องนี้เลย แต่ไม่รู้ทำไมถึงยังต้องมา มาทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีใครรอเขาอยู่ที่นี่แล้ว... ไม่มีอีกแล้ว...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD