บทที่ 5
คนตายย้อนหวนคืน
มารดาโอบไหล่เป่าซูเม่ยเข้าไปด้านในบิดาจึงเดินตามไป ในตอนนั้นเองเสียงของบุรุษผู้คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากหน้าประตู เมื่อหันกลับไปมองก็พบกับบุรุษผู้เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ บุตรชายคนโตของสกุลเป่า
“คำนับท่านพ่อ ท่านแม่ เป่าซีซวนกลับมาแล้วขอรับ”
เดินมาคำนับบิดามารดา ด้วยความกตัญญู ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นสำรวจผู้คนตรงหน้าว่าดูสุขสบายดีหรือไม่ รู้ดีว่าตนนั้นอกตัญญูที่หนีหายไปถึงหนึ่งปี แต่อย่างไรบุตรก็คือบุตร ย่อมต้องห่วงคะนึงถึงบิดามารดารวมถึงญาติพี่น้องร่วมเชื้อสาย
ทุกคนดูตกอกตกใจกับการกลับมาอย่างกะทันหันของเป่าซีซวนในรอบหนึ่งปี เว้นเสียแต่เป่าซูเม่ยผู้เป็นน้องสาว
เป่าซูเม่ยหันมาคำนับให้กับเป่าซีซวนผู้เป็นพี่ชายด้วยความเลื่อมใส สำหรับเป่าซูเม่ยนั้นช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกับเป่าซีซวนนั้นเนิ่นนานกว่าหนึ่งปี เนื่องจากในอดีตหรืออีกสามปีต่อจากนี้เป่าซีซวนจะร่วมเดินทางไปกับกลุ่มการค้าเดินสมุทร เกิดพายุเข้าจนเรือร่ม แม้แต่ศพก็หาไม่พบ ได้แต่กราบไหว้แท่นหินอย่างอาลัยอาวรณ์
ดวงตากลมร้อนผ่านขึ้นมาอีกครั้ง เป็นการรวมตัวของครอบครัวในอดีตที่ถูกฆ่าล้างโครตด้วยความเข้าใจผิด เว้นเสียแต่เป่าเซียวอวี้แต่เพียงผู้เดียว
“ฮึก…!”
เป่าซูเม่ยยกฝ่ามือเล็กทั้งสองข้างขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ เมื่อไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกคะนึงหาได้อีกต่อไป นางโผเข้าสู่อ้อมกอดของเป่าซีซวนจนอีกฝ่ายเสียหลัก ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
“น้องเล็กคะนึงหาพี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เจ้าตัวเองก็กลับมาเนื่องจากคะนึงหาครอบครัวเช่นกัน เมื่อได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นของน้องสาว บุรุษอกสามศอกก็แทบอดกลั้นน้ำตาไม่ไหว ไม่มีใครที่เห็นภาพนี้แล้วไม่ยิ้มตาม ความรักใคร่กลมเกลียวของพี่น้อง
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าโตพอที่ตบแต่งแล้ว หากขี้แยเช่นนี้จะมีบุรุษใดหมายตาเจ้ากัน หืม?”
“แม้จะมิมีบุรุษมายตาแต่เรื่องตบแต่งมีแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านพี่”
“ข้าอยากเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเสียจริง”กดจมูกลงบนเรือนผมนุ่มสลวยของเป่าซูเม่ยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะผละออกแล้วถามต่อว่า”ข้าเห็นรถม้าตราสกุลอี้หยาง เกิดสิ่งใดขึ้นกันหรือ?”
นึกถึงเมื่อเดินเข้ามาในอาณาเขตของจวน เห็นตราสกุลอี้หยางก็รู้สึกถึงลางไม่ดี แม้จะเป็นถึงผู้ที่ฮ่องเต้ไว้ใจ มอบยศฐาบรรดาศักดิ์ให้ ถึงกระนั้นก็ยังเป็นอ๋องทรราชผู้เหี้ยมโหดในสายตาของผู้คนทั่วไปอยู่ดี แล้วไม่มีเหตุผลใดให้อี้หยางเซียวหมิ่นผู้นั้นมาเยือนเลยสักส่วน นอกเสียจากว่าระหว่างที่ตนไม่อยู่นั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น
“อ้อ นั่นรถม้าของข้าเองเจ้าค่ะ”
“หืม?”
“นั่นเพราะเจ้าหนีหายไปเสียนาน แม้แต่งานสมรสของเม่ยเอ๋อร์ก็ยังมิล่วงลู่ เจ้าคนไม่เอาถ่าน!”
“หา!! นะ นี่เจ้า…”หันกลับมามองเป่าซูเม่ย แล้วหันกลับไปหาบิดามารดาก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง”น้องเล็กสมรสแล้งงั้นรึ!?”
บิดามารดาพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างเอือมระอากับเป่าซีซวน ส่วนบุรุษเจ้าตัวนั้น…
“กับ…”ดวงตาเรียมจ้องมองเป่าซูเม่ยตาแทบถลน เมื่อสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว เพียงแต่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากเจ้าตัว…
“หมิ่นอ๋องคือสามีของข้าเจ้าค่ะ ท่านพี่”
เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากเป่าซูเม่ย เป่าซีซวนก็แทบเป็นลม!!
เป่าซีซวนหวงแหนเป่าซูเม่ยยิ่งกว่าสิ่งใด ในวัยเยาว์ทั้งคู่สนิทสนม รักใคร่กลมเกลียว กระทั่งเติบโตก็คงเหมือนเดิม แม้ต่างคนต่างจะชื่นชอบในสิ่งที่แตกต่างกันก็ตาม
หายไปเพียงหนึ่งปีกลับมาก็เจอกับข่าวน้องสาวแต่งงาน อีกทั้งตนยังไม่ได้ร่วมงานมงคลของน้องอีกด้วย
ราวกับวิญญาณของบุรุษหลุดลอยไปไกลแสนไกล เป่าซีซวนทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เป่าซูเม่ยหัวเราะอย่างไร้เดียงสา ย่อกายลงแล้วส่งรอยยิ้มหวานเหมือนครั้นเมื่อยังวัยเยาว์ให้พี่ชาย
“เม่ยเอ๋อร์รับรู้ถึงความกังวลของท่านพี่ ทว่าอย่าได้กังวลไปเลย รวมถึงท่านพ่อและท่านแม่ด้วย เม่ยเอ๋อร์อยู่ที่จวนสกุลอี้หยางสุขสบายดี หลังจากนี้เม่ยเอ๋อร์อาจมิได้มาเยี่ยมบ่อยเนื่องจากระยะทาง แต่เม่ยเอ๋อร์สัญญาว่าจะส่งจดหมายมาบ่อยๆ เจ้าค่ะ”
ราวกับถ้อยคำอำลาทั้งที่เพิ่งมาเยือนจวนได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม บิดามารดาพยุงบุตรทั้งสองให้ลุกขึ้น โอบกอดกันกลมเกลียวและใช้เวลาร่วมกันทุกวินาทีอย่างมีคุณค่า
…สมจริงถึงเพียงนี้ ไหนเลยจะเป็นเพียงความฝัน…
ฝ่ามือเล็กลูบคลำสร้อยข้อมือหยกขาวหายาก ของขวัญวันสมรสที่เป่าซีซวนมอบให้นางยังคงเหมือนกับเมื่อครั้งหนึ่งในอดีต ดวงตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง จันทราสีเหลืิองนวลเหลือเพียงครึ่งเสี้ยว แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา คลับคล้ายคลับคลากับจิตใจคน ทว่าจิตใจแม้จะเปลี่ยนแปลงแต่ก็ยากแท้หยั่งถึง ยากนักที่จะรับรู้ ในขณะที่จันทราสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทุกค่ำคืน หากไม่มีเมฆหมอกบดบัง
เป่าซูเม่ยจดจำเรื่องราวในอดีตได้อย่างแม่นยำ ไม่ขาดตกเลยแม้แต่เรื่องเดียว หากเป็นเพียงความฝันแล้วมันจะชัดเจนถึงเพียงนี้เลยหรืออย่างไร?
นางเชื่อสนิทใจว่านี่คือความเมตตาของเจ้าแม่กวนอิม ส่งนางย้อนเวลากลับมาขัดลิขิตสวรรค์เพื่อให้นางแก้ไขอดีต ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดที่ทำให้นางย้อนเวลากลับมา แต่นางจะไม่ยอมเดินตามรอยอดีตเด็ดขาด!
สตรีตัวน้อยผุดลุกขึ้นแล้วดับไฟตะเกียง ล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาลง อย่างไรวันนี้ก็ถือเป็นวันที่ดี ได้เห็นหน้าค่าตาของคนอบครัวที่ผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขายังเหมือนเดิมเสียจนภายในหัวใจรู้สึกปวดหนึบจนหลั่งน้ำตาอาบสองข้างแก้มมาอย่างไม่รู้ตัว
การตายอย่างไร้ความยุติธรรมนางจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำ ทว่ามืดแปดด้านเหลือเกิน สกุลเป่านั้นใสสะอาดทั้งภายในและถายนอก เหตุใดจึงถูกเข้าใจผิดว่าก่อนกบฎ อีกทั้งยัง…เรื่องที่นางวางยาพิษอี้หยางเซียวหมิ่นด้วย
แผ่วเบา…
เฮือก!!
ดวงตากลมเบิกกว้างในความมืด ผุดลุกขึ้นแล้วถดถอยไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเตียงด้วยความระมัดระวัง
“เจ้า…!?”
น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างแข็งกระด้าง เมื่อไม่รู้สึกถึงการบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคนผู้นี้ ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อเงารูปร่างคลับคล้ายคลับคลาคล้ายกับจะรู้จัก
ฝ่ามือที่ยื่นออกไปลูบข้างแก้มใสชะงักอยู่กับที่ มองดูสตรีตัวน้อยแสนบอบบางที่บัดนี้ขู่ฟ่อราวกับลูกแมวขี้กลัว
“ไหวพริบเจ้าเป็นเลิศ หากเป็นบุรุษคงต้องจับฝึกฝนลับคมเสียหน่อย”
ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นถ้อยคำชื่นชมหรือประชดประชันกันแน่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคืออี้หยางเซียวหมิ่นจึงคลายความระแวดระวังลงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งมีไว้ก็ไม่เสียหาย…
“คำนับหมิ่นอ๋อง”ประสานมือขึ้นอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียงแล้วย่อกายลง แสดงถึงความเลื่อมใสขัดต่อจิตใจที่แสนระแวดระวัง”ท่านมีธุระอันใดหรือ จึงมาเยี่ยมเยือนกะทันหัน อีกทั้งยังเป็นยามวิกาลเช่นนี้”
“สามีเข้าห้องภรรยา จำเป็นต้องมีเหตุและผลด้วยหรือ?”
“หามิได้ เพียงแต่หลายวันมานี้หมิ่นอ๋องงานรัดตัวเสียจนเราสามีภรรยามิได้เจอหน้ากัน ข้าจึงคิดสงสัยว่าสิ่งใดทำให้หมิ่นอ๋องมาที่ต่ำต้อยแห่งนี้เจ้าค่ะ”
“…”อี้หยางเซียวหมิ่นไม่ได้ตอบในทันที เพียงแต่จ้องมองดวงหน้าซึ่งคล้ำมืดเนื่องจากยืนย้อนแสงจันทราซึ่งสาดส่องเข้ามาในห้อง”ข้าเพียงแต่…ไม่รู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่…”
…เอ่ยราวกับที่ผ่านรู้…
“หากมิรู้ ขอให้เอ่ยถาม มิใช่เรื่องยากเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้สึกอย่างไร”
ไม่รอช้า เอ่ยถามสวนออกไปทันที เป่าซูเม่ยชะงัก กำลังทวนตีความประโยคของบุรุษภายในใจ
…ถามว่าข้ารู้สึกอย่างไร แล้วข้าควรตอบเช่นไรกัน ข้าตีความหมายที่แท้จริงของคำถามนี้ไม่ออกเลย…
“เม่ยเอ๋อร์…”เพราะเป็นน้องเล็กสกุลเป่า นางจึงรู้วิธีออดอ้อนด้วยถ้อยคำให้ผู้หลักผู้ใหญ่เกิดความเอ็นดู จึงเผลอแทนตัวเองเช่นนั้นด้วยความเคยชิน”…ช่างโง่เขลานัก มิรู้ว่าท่านหมายถึงสิ่งใดเจ้าค่ะ”
ยกฝ่ามือขึ้นประสานแล้วก้มหัวอีกครั้ง อี้หยางเซียวหมิ่นมองท่าทางของนางด้วยแววตาอ่านยาก มีสิ่งใดซ่อนอยู่ในแววตาแสนเย็นชานั้นก็ไม่อาจทราบได้
“หมายความตามที่เอ่ย…เจ้ากำลังรู้สึกเช่นไร”