บทที่ 4
ใคร่ฉงนใจ
แต่โชคดีเหลือเกินที่เป่าซูเม่ยจดจำรายละเอียดได้ทุกอย่าง จึงหลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้ทันท่วงที ช้อนดวงตากลมโตที่เคยใสซื่อไร้เดียงสาขึ้นมองฉูซูซินด้วยความเย็นยะเยือก
...หะ เหตุใดสายตาของคุณหนู...
“ระวังหน่อย หากอาภรณ์เข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮามีตำหนิ ข้าจะกล้ามองหน้าพวกท่านได้อย่างไร หนำซ้ำเจ้ายังอาจถูกปลดออกจากหน้าที่”
“ขะ ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ คุณหนู”
“ฉูซูซิน”น้ำเสียงและท่าทางของนางแตกต่างจากเป่าซูเม่ย คุณหนูรองคนเดิมที่ฉูซูซินเคยรับใช้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัย”บัดนี้ข้าตบแต่งมาเป็นสะไภ้สกุลอี้หยาง สามีมีศักดิกดิ์เป็นถึงท่านอ๋อง แม้เจ้าจะมิรู้หนังสือ แต่ข้ามิยักกะรู้ว่าเจ้ามิรู้มารยาทด้วย เห็นที่ข้าคงต้องเปลี่ยนสาวใช้ประจำตัวเสียกระมัง”
“ข้าน้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดลงโทษข้าน้อย”ย่อกายลงพื้น แล้วยกฝ่ามือขึ้นประสานแสดงถึงความเลื่อมใสในการกระทำ แต่จิตใจหาหยั่งรู้ไม่ว่าคิดอะไรอยู่
“คุกเข่าหน้าห้องข้าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป”
“เจ้าค่ะ เม่ยหวางเฟย”
หลังจากสั่งลงโทษคนใต้ปกครองของตน เป่าซูเม่ยก็สะบัดตัวเดินออกไปทันที ฉูซูซินถึงกับตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงของเป่าซูเม่ย สตรีผู้แสนอ่อนโยน บัดนี้กลับกล้าใช้อำนาจที่ตนมีสั่งลงโทษผู้คนแล้ว ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้จำเป็นต้องรายงานให้กับเป่าเซียวอวี้
อี้หยางเซียวหมิ่นและเป่าซูเม่ยมาถึงพระราชวังในเวลาไม่นาน แม้อาณาเขตปกครองของอี้หยางเซียวหมิ่นจะห่างไกลจากเมืองหลวง ทว่าด้วยการเล่นแร่แปรธาตุของนักปราชญ์และเซียนผู้หนึ่ง ได้เกิดเตรื่องมือที่สามารถลดระยะเวลาการเดินทางออกไปได้หลายชั่วยาม[1]
ฮองเฮายังคงเอ็นดูเป่าซูเม่ยดั่งครั้งอดีต ส่วนฮ่องเต้นั้นยังคงคาดเดาไม่ได้ ก่อนกลับนางได้มอบของขวัญบางอย่างให้กับไท่จื่อหลี่จวิ้นข่ายด้วยตัวนางเอง เมื่อไท่จื่อหลี่จวิ้นข่ายเปิดดูก็ปิดความดีใจไว้ไม่มิด
เมื่อกลับมาถึงจวน เป่าซูเม่ยจึงนั่งทบทวนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น และเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์อยู่ภายในหัว ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว และเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้
อีกเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้น และสามารถยืนยันได้ว่านางรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตนั่นก็คือ...
การกลับมาอย่างกะทันหันของบุตรชายคนโตสกุลเป่า หรือก็คือพี่ชายของนางนามว่าเป่าซีซวน ผู้รักอิสระและถูกไล่ออกจากตระกูลเนื่องจากขัดคำสั่งบิดาซึ่งยื่นคำขาด ทว่าบิดาก็ไม่ได้ลบชื่อเป่าซีซวนออกจากสกุลแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็เป็นถึงบุตรชายคนโต หากเที่ยวเล่นจนพอใจแล้วก็คงนึกถึงความสำคัญของครอบครอบแล้วกลับมา
ซึ่งวันนั้นก็คืออีกหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้ และเป็นวันที่อี้หยางเซียวหมิ่นและเป่าซูเม่ยจะต้องกับไปเยี่ยมครอบครัวตามขนบธรรมเนียมประเพณี
ตลอดหลายวันอี้หยางเซียวหมิ่นไม่ได้มาหานางแม้แต่วันเดียว ปกติแล้วจะต้องมีข่าวลือมาถึงหูนางบ้างไม่มากก็น้อย ว่านางไม่เป็นที่โปรดปรานและเป็นฮูหยินที่ถูกละเลย ทว่ากลับไม่มีข่าวคราวใด
ค่ำคืนก่อนวันเยี่ยมบ้านสกุลเป่า
เมื่อไฟในห้องของเป่าซูเม่ยดับลง มู่เหริน สังกัดหน่วยทหารเงาลับของอี้หยางเซียวหมิ่นก็รีบเร้นกายหลบออกมาอย่างว่องไว เพียงสามจิบน้ำชา[2]ก็มาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายด้วยความรวดเร็ว
“เรียนนายท่าน”นั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง สองมือยกขึ้นคำนับไว้ด้านหน้าด้วยความเลื่อมใส ก่อนจะรายงานเฉกเช่นทุกคืน”...เม่ยหวางเฟยดับไฟแล้วขอรับ”
อี้หยางเซียวหมิ่นพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือไล่ เวลาต่อมามู่เหรินก็หายไปจากตรงนั้นทันที บุรุษหยัดกายเต็มความสูง บิดกายซ้ายขวาไล่ความเมื่อยล้าที่เกาะกุม ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงาน มุ่งหน้าตรงไปสู่ห้องนอนของเป่าซูเม่ย
ฝ่ามือหยาบยื่นออกไปดันประตูเลื่อนออก แม้ภายในห้องจะมืดสนิท แต่อี้หยางเซียวหมิ่นกลับมองเห็นชัดเนื่องจากเคยอยู่ในสนามรบที่ปกคลุมด้วยความมืดมิดมานานถึงสามปี จึงเคยชินกับความมืดมากกว่าผู้ใดในจวนนี้ อีกอย่างแสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาก็สว่างมากพอให้เห็นร่างของสตรีตัวน้อยนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง
เมื่อเดินเข้ามาจนถึงเตียงก็หยุดยืนอยู่กับที่ ดวงตาเรียวคมจ้องมองเป่าซูเม่ยด้วยแววตาอ่านยาก หรี่ดวงตาลงเล็กน้อย ดวงตาข้างซ้ายเป็นประกายวาววับอยู่ในควาวมมืดมิด ไม่ใช่เพราะต้องแสงจันทร์ ราวกับว่าลูกตาข้างนั้นเป็นลูกแก้วสีดำสนิท ไม่ใช่ดวงตาที่มีเลือดเนื้อเฉกเช่นมนุศย์
...เหตุใดจึงมิเห็น มีสิ่งใดผิดพลาดกัน?...
ได้แต่สงสัย แต่หากไร้คำตอบ ความหวังเดียวคืออาจารย์ที่เคยสอนวรยุทธิ์ให้ในวัยเยาว์ อี้หยางเซียวหมิ่นถือวิสาสะนั่งลงบนเตียง ไม่ได้แตะต้องเป่าซูเม่ยเลยแม้แต่น้อย ได้แต่จ้องมองเพียงอย่างเดียวเพื่อหาคำตอบบางอย่าง ทว่าก็ไม่เคยได้คำตอบเลยสักวัน
ทุกค่ำคืนหลังจากที่เป่าซูเม่ยดับไฟแล้ว อี้หยางเซียวหมิ่นจะเดินทางมาหานาง แล้วจ้องมองนางตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งสางจึงเดินออกไป เกิดเป็นข่าวลือมีมูลว่าอี้หยางเซียวหมิ่นโปรดปรานเป่าซูเม่ยมากเป็นพิเศษ จนขนาดเทียวไปหาที่ห้องหอทุกค่ำคืน แม้ว่าทั้งสองจะแยกห้องนอนกันก็ตาม
ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากมืดสนิทถูกแทนที่ด้วยความสว่างไสวและเมฆหมอกสีฟ้าคราม
เป่าซูเม่ยอยู่ในอาภรณ์สีเหลืองส้มดูสดใส ช่วงยามซื่อ[3]นางก็มาถึงจวนสกุลเป่าโดยไร้เงาของสามี เมื่อได้เห็นหน้าครอบครัว ดวงตาก็ร้อนผ่าว รื้นน้ำตาขึ้นมาอย่างง่ายดาย
เป่าซูเม่ยถูกส่งย้อนเวลากลับมาในคืนวันวสันต์ หลังจากร่ำลาครอบครัว ล่าสุดในความทรงจำของนางคือสกุลของนาง บิดา มารดา นอนจมกองเลือด นี่จึงเป็นครั้งแรกหลังจากย้อนเวลากลับมาที่ได้เห็นหน้าครอบครัวยกเว้นเป่าเซียวอวี้ที่ได้ตบแต่งออกไปนานแล้ว และเป่าซีซวน แต่อีกไม่ช้าไม่นานก็จะมาถึงอย่างแน่นอน
ถ้าหากเป็นไปตามที่เป่าซูเม่ยคาดกาณ์เอาไว้ นั่นก็หมายความว่านางย้อนเวลากลับมาอย่างแน่นอน หากจะคิดว่าเป็นลางบอกเหตุการณ์ในอนาคต เหตุใดนางจึงยังจำความรู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อถูกบังคับให้ดื่มยาพิษด้วยตนเองได้กันเล่า
ความรู้สึกยามเมื่อฤทธิ์ของยาพิษซึมซาบไปทั่วร่าง กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของเส้นเลือด ร่างกายของนางถูกแผดเผาด้วยพิษของมันจนแห้งตายนั้นยากที่ลืมเลือน
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
เป่าซูเม่ยโผเข้าสู่อ้อมกอดของบิดามารดาผู้เป็นที่รักยิ่ง อย่างไม่นึกอายกับท่าทางราวกับเด็กน้อยเช่นนี้ เกิดเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดู แม้จะเติบโตเป็นสตรีแสนงดงาม เลยวัยปักปิ่นมาแล้วหนึ่งปี กระทั่งได้ตบแต่งกับอี้หยางเซียวหมิ่น แต่ในสายตาของผู้อาวุโสทั้งสอง เป่าซูเม่ยก็เป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาผู้หนึ่งเท่านั้น
มองหาอี้หยางเซียวหมิ่นผู้เป็นสามีของบุตรสาว เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาก็นึกโล่งใจ หากจะว่าไม่ชอบก็ไม่ใช่ ไม่พอใจก็ไม่เชิง การแต่งงานของทั้งสองเกิดมาจากความเห็นตรงกันทั้งสองฝ่าย แม้ไม่อยากให้เป่าซูเม่ยแต่งงานทางการเมืองเช่นนี้ ทว่าก็ไม่อาจขัดราชโองการได้ อีกทั่งบุตรสาวยังเห็นดีเห็นงามด้วยความอยากช่วยเหลือสกุล
ในสายตาของผู้นำสกุลเป่าผู้มียศเป็นถึงเสนาบดีกรมกลาโหม สามีของบุตรสาวผู้นี้มียศเป็นถึงอ๋องผู้รวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นเมื่อสามปีก่อน ร่วมกับฮ่องเต้และตนจนได้รับความไว้วางใจพระราชทานยศอ๋อง
เมื่อกลับมาเกิดเหตุอันใดคนนอกไม่อาจรู้ อี้หยางเซียวหมิ่นฆ่าล้างสกุลจนเหลือตนเพียงผู้เดียว ต้องส่งบุตรสาวผู้เป็นดั่งไข่มุกในฝ่ามือให้กับบุรุษเหี้ยมโหดผู้นั้น ด้วยเพราะสกุลตกอยู่ในสภาวะขัดสน ช่างน่าละอายใจเสียจริง
“มาเถอะ มาดื่มชาด้วยกันสักประเดี๋ยว”
มารดาโอบไหล่เป่าซูเม่ยเข้าไปด้านในบิดาจึงเดินตามไป ในตอนนั้นเองเสียงของบุรุษผู้คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากหน้าประตู
[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
[2] 1 จิบน้ำชา = 1 พริบตา
[3] ยามซื่อ = 09:00 – 10;59 น.