“อะ เอ่อ...” อยากจะบ้าตายพูดอะไรไม่ออกเลยฉัน
“เธอไม่เป็นอะไรนะ”
เป็นค่ะ ตอนนี้เป็นคนที่หน้าชามาก พี่หมอช่วยทำแกล้งไม่รู้จักแล้วปล่อยฉันไปให้พ้นๆ ได้ไหมคะ
“คนรู้จักของพี่เหรอคะ” ผู้หญิงคนนั้นมองหน้าฉันสลับกับพี่หมอก่อนจะเอ่ยถามเขา
“อืม เป็นคนรู้จักของน้องสาวน่ะ”
ดูห่างเหินจัง แต่ช่างเถอะเขาพูดแบบนี้ก็แปลว่าจำฉันได้ ในสถานการณ์แบบนี้ฉันควรดีใจหรือเสียใจดีนะที่เขาจำได้ เฮ้ออ
“เจตฝากบอกว่าเธอไม่สบายอยู่ ให้รีบพักผ่อนแล้วอย่าลืมกินยา”
“ค่ะ”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็บอกลากัน ซึ่งไม่นานผู้หญิงที่ดูน่าจะเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับฉันก็เดินจากไป
“เธอไปนั่งทำอะไรตรงนั้นเหรอ”
“คือหนู...”
“เอ้ยที่พื้น..”
พะ พื้น!!!
ฉันได้ยินดังนั้นก็ไม่สนห่าเหวอะไรทั้งนั้นรีบกระโจนออกจากข้างถังขยะแล้งพุ่งเข้าไปกอดพี่หมอทันที นี่อย่าบอกนะว่ามีไอ้หนูยักษ์นั่นอีกแล้ว
“นะ นะ หนูอีกแล้วใช่ไหม”
อย่าหาว่ากระแดะเลยนะที่เห็นหนูแล้วกรี๊ด แต่ฉันไม่ถูกโฉลกกับเจ้านั่นจริงๆ ตอนเด็กฉันเคยถูกขังในห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาในโรงเรียน ตอนนั้นในห้องอับชื้นมากแล้วก็มีแค่ฉันที่ติดอยู่ เดิมทีก็ไม่ได้คิดอะไรกะว่าอีกสักพักพวกเพื่อนๆ เรียนวิชากีฬาเสร็จก็คงมาเปิดประตูให้
แต่จู่ๆ ก็มีกองทัพหนูที่ไหนก็ไม่รู้บุกเข้ามา พวกมันอยู่ใกล้ฉันมากแล้วมีบางตัวพยายามจะปีนขึ้นมาบนร่างกายฉันด้วย
นับแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็กลายเป็นพวกกลัวหนูไปโดยปริยาย
“ใจเย็นๆ พี่แค่จะบอกว่าที่พื้นเธอทำโทรศัพท์ตกไว้”
โทรศัพท์เหรอ
ฉันรีบหันกลับไปดูก็เห็นโทรศัพท์ของตัวเองตั้งเขลงอยู่บนพื้น
พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นใบหน้าหล่อๆ ของพี่หมอจ้องหน้าฉันแล้ว แถมยังใกล้แค่นี้เอง...
“ขะ ขอโทษค่ะ”
พอดึงสติกลับมาได้ฉันก็รีบปล่อยมือและถอยห่างออกมา พี่หมอปัดรอยยับที่เสื้อเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
ฮู้ว โล่งอกไป
“เธอพักอยู่ที่นี่เหรอ” เขาว่าพลางทอดสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า
ซึ่งสภาพฉันตอนนี้เรียกว่าชิลเกินไปจะได้ไหมนะ ทั้งเสื้อตัวใหญ่ที่แอบขาดเป็นรูอยู่ที่แขน ผมเผ้ารุงรังไม่เป็นทรงตามฉบับนักบิดรถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ชอบใช้หวี แล้วยังมีอีคีบแตะสีเหลืองอ๋อยคู่นี้อีก
ทำไมต้องมาเจอกันตอนนี้ด้วยนะ
“ไอริน”
“ขะ คะ?”
เอ๊ะเดี๋ยวนะ!
“เมื่อกี้พี่เรียกชื่อหนูเหรอ”
“อื้ม เห็นสีน้ำบอกว่าเธอชื่อไอรินใช่ไหม”
ดีใจจังที่เขาจำชื่อฉันได้
“ค่ะ แล้วเมื่อกี้พี่หมอถามว่าอะไรนะคะ”
“พักอยู่ที่นี่เหรอ”
“ค่ะ แล้วพี่หมอล่ะมาทำอะไรหรือว่ามาส่งแฟน”
นี่แหละเขาว่าถ้าอยากรู้ก็ให้ถามออกไปเลย ไม่ต้องมานั่งอมพะนำแล้วคิดเองเออเองอยู่
“ไม่ใช่แฟนพี่ แฟนเพื่อนน่ะพอดีมันติดผ่าตัดด่วนแล้วสัญญาว่าจะไปรับแฟนที่มหาลัย มันไม่อยากให้แฟนรอเก้อก็เลยให้พี่ไปรับแทน”
“อ๋อแบบนี้นี่เอง แต่พี่หมอก็เป็นคนดีจังนะคะ”
ถ้าเป็นฉันไม่ไปรับให้หรอก มีปัญญานัดแต่ไม่มีปัญญารับผิดชอบคำพูด ถึงเหตุผลจะฟังขึ้นแต่ก็ต้องหาวิธีแก้ไขเองสิไม่ใช่เดือดร้อนคนอื่น จะมองว่าฉันใจแคบก็ได้นะ แต่นี่แหละคือ ไอริน
“พอดีผ่านทางนั้นพอดีก็เลยแวะรับให้ ถ้าพี่ไปทางอื่นก็คงไม่ได้ใจดีแบบนี้หรอก”
พอจบประโยคบรรยากาศระหว่างเราสองคนก็เงียบลง ฉันกำลังคิดว่าจะยกเรื่องอะไรมาคุยกับเขาต่อดี อุตส่าห์มีโอกาสแล้ว
“ว่าแต่พี่หมอ...”
“คุณระวัง!!!”
สิ้นเสียงตะโกนได้ไม่ถึงสามวินาที ร่างพี่หมอก็ถูกทำให้เปียกปอนไปทั้งตัวด้วยน้ำที่...เอ่อ เหมือนจะค่อนข้างสกปรกด้วย ที่ฉันมั่นใจเพราะมันยังมีคราบฝุ่นลอยติดมากับน้ำอยู่เลย ดูแล้วเหมือนกับน้ำที่กำลังใช้ทำความสะอาดห้องยังไงก็ไม่รู้
“เอ่อ ดะเดี๋ยวหนูช่วยค่ะ” อย่าว่าแต่เขาอึ้งเลย ฉันเองก็อึ้งเหมือนกัน
ฉันรีบใช้มือช่วยหยิบหยากไย่บนหัวพี่หมอออกพร้อมกับใช้มือสะอาดของตัวเองช่วยเช็ดน้ำที่กรอบหน้าให้เขา
“ผมขอโทษครับ!”
เจ้าของห้องที่ราดน้ำลงมารีบวิ่งลงมารับผิดชอบ
“ผมไม่ใช่คนดีที่จะบอกว่าไม่เป็นอะไรหรอกนะ แต่ห้องคุณไม่มีห้องน้ำหรือไงถึงได้สาดน้ำสกปรกลงมาที่พื้นแบบนี้”
เวลาโกรธก็ดุใช้ได้เลยแฮะ
“ขอโทษครับพอดีห้องน้ำผมไม่ว่างก็เลย...”
“ทีหลังอย่าเอานิสัยมักง่ายแบบนี้ไปใช้ที่ไหนอีก เพราะถ้าคนที่โดนคุณสาดน้ำใส่เป็นอะไรขึ้นมาคุณจะรับผิดชอบไม่ไหว”
“ขอโทษจริงๆ ครับ”
ถ้าฉันเป็นผู้ชายที่โดนตำหนิคนนี้ก็คงไม่กล้าเงยหน้าสบตาพี่หมอแล้ว ทั้งแววตาและน้ำเสียงน่ากลัวชะมัด แต่เขาก็สมควรโดนด่าแหละ
“พี่หมอขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ห้องหนูก่อนไหม กลับไปสภาพนี้รถพี่จะเลอะเอานะ”
พี่หมอดูลังเลฉันจึงชวนอีกครั้งไม่ปล่อยให้เขามีจังหวะคิดปฏิเสธ
“ไปเถอะค่ะ น้ำมันสกปรกไม่ควรอยู่บนร่างกายนานๆ นะ”
“อืม งั้นพี่ขอรบกวนหน่อยนะ”
เยส!
พี่หมอเดินตามฉันขึ้นมาบนห้อง ระหว่างทางเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรมากมายแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้บรรยากาศอึดอัด ซึ่งทันทีที่เข้ามาถึงฉันก็รีบไปหยิบผ้าขนหนูและชุดคลุมอาบน้ำให้เขา
ขณะที่รออาบน้ำฉันก็มารื้อตู้เสื้อผ้าหาชุดของลอตเต้ที่คิดว่าพี่หมอน่าจะใส่ได้ออกมา
โชคดีนะที่มันเอามาทิ้งไว้หลายชุด และขนาดตัวของลอตเต้กับพี่หมอก็ไม่ได้ต่างกันมาก แค่พี่หมออาจจะดูล่ำกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา
งั้นเอาชุดนี้ก็แล้วกัน
ฉันหยิบเสื้อยืดสีขาวลายการ์ตูนเสือกำลังนั่งอ่านหนังสือกับกางเกงช้างขายาวมาเตรียมไว้ให้ โดยไม่ลืมของสำคัญอย่างชั้นในซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะใส่ด้วยกันได้ไหม
แต่ฉันคิดว่าได้แหละ
ก็อกๆ ก็อกๆ
หลังจากเตรียมเสื้อผ้าเสร็จฉันก็เดินมาเคาะประตูห้องน้ำไม่นานประตูก็ถูกแง้มออกมา ฉันยื่นเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้เขา ซึ่งพี่หมอก็รับไปก่อนจะปิดประตู
“เอ่อ มีชั้นในด้วยเหรอ” เสียงที่ดูเหมือนตกใจดังมาจากในห้องน้ำ
“ค่ะ แต่มันยังไม่เคยใช้นะพี่หมอเอาไปใส่ได้เลย”
“ขอบใจนะ”
นี่เขาคงไม่ได้คิดว่าฉันมีแฟนแล้วเอาเสื้อผ้าแฟนให้เขาใส่หรอกนะ
แต่ก็น่าคิดอยู่หรอกห้องหญิงโสดที่ไหนจะมีเสื้อผ้าผู้ชายครบครันแม้กระทั่งกางเกงชั้นในที่ยังไม่ได้ใช้บ้างล่ะ
เมื่อกี้ก่อนจะลงไปซักผ้าฉันกะว่าถ้าขึ้นมาแล้วจะทำความสะอาดห้อง แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อนแล้วตอนนี้สภาพห้องฉันก็ค่อนข้างรกเสียยิ่งกว่ารังหนูซะอีก
ดูสิทั้งผ้าที่ใช้แล้วซึ่งยังเอาลงไปซักไม่หมด ไหนจะซองขนมที่กินเหลือไว้อีก
ฉันรีบใช้เวลาที่พี่หมอยังไม่ออกมาจากห้องน้ำเก็บทำความสะอาดห้องนั่งเล่นเท่าที่จะทำได้ ส่วนห้องนอนจะรกไปก่อนก็ช่างมันแหละยังไงเขาก็ไม่ได้เข้าไปอยู่แล้ว
“ไม่ต้องรีบเก็บขนาดนั้นก็ได้ พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
ออกมาตั้งแต่ตอนไหนน่ะ
ฉันกำลังก้มเก็บซองขนมที่อยู่บนโต๊ะก็รีบหันไปมองทางต้นเสียงซึ่งจู่ๆก็โผล่มาอยู่ด้านหลังเงียบๆ ทำเอาตกใจหมด
แต่ทันทีที่เห็นหน้าเขาฉันก็นิ่งอึ้งไปเลย..
เอาผมลงแล้วน่ารักจัง...
ปกติเวลาเอาผมขึ้นเซตทรงเขาจะดูภูมิฐานและสง่า แต่ทว่าตอนนี้กลับดูเด็กและน่ารักขึ้นมาเยอะเลย
สำคัญคือการใส่เสื้อผ้าที่ฉันเตรียมให้ทำให้เขาดูไม่เหมือนคุณหมอเลยสักนิด ราวกับเด็กยี่สิบต้นๆ ที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย
เฟรชชี่บางคนยังดูเด็กไม่เท่าเขาเลยด้วยซ้ำ
“ยิ้มอะไร”
“ปะ เปล่าค่ะแค่รู้สึกว่าพอพี่หมอแต่งตัวแบบนี้ก็เหมือนเด็กดีนะคะ”
“มันแปลกมากเหรอ”
“แปลกค่ะเพราะหนูไม่เคยเห็นพี่ใส่แบบนี้ แต่ว่าพอเอาเข้าจริงก็น่ารักมากเลยค่ะ”
“น่ารัก”
ทำหน้าประหลาดใจราวกับไม่เคยถูกใครชมว่าน่ารักอย่างนั้นแหละ
“ค่ะ น่ารักมากๆ”
ฉันเอ่ยชมพร้อมโปรยรอยยิ้มหวาน เห็นหน้าเขาแล้วก็อดยิ้มไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
“ขอบคุณมากนะที่ให้พี่ยืมเสื้อผ้า”
พูดถึงเรื่องนี้แล้วฉันควรอธิบายสักหน่อย
“พี่หมอคะ เสื้อผ้าแล้วก็ชุดชั้นในเป็นของเพื่อนสนิทหนูนะคะไม่ใช่แฟน พอดีมันชอบเอามาทิ้งไว้บ่อยๆ เวลาขี้เกียจกลับคอนโด ห้องหนูก็เลยมีเสื้อผ้ามันติดไว้ แต่หนูโสดนะคะยังไม่มีแฟน”
ฉันย้ำประโยคสุดท้ายให้เสียงดังฟังชัดกลัวเขาไม่ได้ยิน
“...”
วืดด
อย่าเงียบสิคะ... ฉันยังยิ้มค้างรอดูว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
แต่เขาดูเหมือนจะยังงงๆ กับคำพูดฉันนะ
“เอ่อครับ”
ฮะ แค่นี้เนี่ยนะ?