บทนำ
เสียงดนตรีสดในลานเบียร์กึกก้องดังทั่วพื้นที่ของร้าน ร่างบางในชุดเดรสแม็กซี่สีขาวสั้นระดับหัวเข่า ถือแก้วเครื่องดื่มมึนเมาในมือพร้อมแกว่งไปมาอย่างเบื่อหน่าย
“นี่มาฉลองก่อนเข้ามหาลัยนะเว้ยน้ำค้าง ร่าเริงหน่อยสิ” เสียงทุ้มที่ไม่เชิงปลอบประโลมของ ‘ก้องภพ’ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีเท่าไหร่นัก
“นี่ไง ยิ้มแล้วพอใจแกยัง” หญิงสาวแกล้งฉีกยิ้มโชว์ฟันเรียงสวยเพื่อประชดประชันแม้ในใจจะไม่รู้สึกมีความสุขเลยสักนิด กี่ครั้งแล้วที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้…
กี่ครั้งแล้วที่เธอช่วยเขาแล้วสุดท้าย ก็กลายเป็นเพียง ‘คนโง่’
“ถ้าไม่เต็มใจแล้วแกจะรับปากไอ้คลื่นทำไม”
“ก็ฉันสง…”
“แกสงสารมัน! แต่การที่มันเลิกกับพี่วีนาไม่ได้หมายความว่ามันจะทำตัวเหี้ยใส่ใครก็ได้นะเว้ย” คะน้าพูดเสียงแข็งเตือนสติเพื่อนในกลุ่มพร้อมส่งแววตาแน่นิ่ง ย้ำชัดว่าทุกคำย่อมกลั่นกรองออกมาจากหัวสมองแล้วทั้งสิ้น
“…” น้ำค้างไม่ได้ตอบโต้อะไร เธอได้แต่เบือนหน้าหนีแล้วก้มหน้าก้มตามองแก้วเหล้าในมือต่อไป
“ฉันรู้แกเสียใจที่คลื่นมันพังหนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะช่วยทุกครั้งที่มันขอให้แกสับรางหลอกผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปมา”
ทั้งหมดสนิทกันตั้งแต่สมัยเข้าเรียนมัธยมต้น จนกระทั่งตอนนี้พวกเธอเติบโตและก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ทว่า ‘คลื่น’ นั้นกลับพิเศษและแตกต่างออกไป เขาและ ‘น้ำค้าง’ รู้จักกันตั้งแต่เด็ก หมอนี่เป็นเพื่อนชายเพียงคนเดียวที่คอยปกป้องเธอเสมอมา ไม่ว่าใครจะมารังแกน้ำค้างหนักหน่วงแค่ไหนคลื่นไม่มีวันยอมเด็ดขาด
เขาพร้อมชนกลับและเอาคืนให้หญิงสาวซึ่งอยู่ภายใต้รั้วบ้านเดียวกัน
น้ำค้างอาศัยอยู่ในบ้านพลธนาตั้งแต่วัยเยาว์ มารดาของเธออย่าง ‘เนื้อนวล’ นั่นเป็นหัวหน้าแม่บ้านทั้งยังควบตำแหน่งพี่เลี้ยงคุณหนูคนเดียวอย่างคลื่น
กลายเป็นว่าทั้งสองแทบเป็นเพื่อนเล่นและอยู่เคียงข้างกันมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
“ฉันเป็นคนแนะนำพี่วีนาให้คลื่น”
“เหอะ หมอนั่นหลงพี่เขาเองส่วนแกน่ะเป็นแค่สะพานเพื่อช่วยให้มันสมหวังต่างหาก”
“ฉัน…”
“อย่าบอกนะน้ำค้างว่าแกจำวันนั้นไม่ได้” น้ำค้างเม้มริมฝีปากเคลือบลิปสีชมพูอ่อนแน่น ใครกันล่ะจะจำวันที่ตัวเองเสียใจไม่ได้…
เธอจำมันได้ดีราวกับบาดแผลที่สลักลึกไว้แน่นหนา ไม่อาจลบเลือนออกจากความทรงจำแม้แต่วินาทีเดียว
เพราะมันคือช่วงเวลาที่หัวใจของ ‘ชายหนุ่ม’ ซึ่งแอบรักกลายเป็นของคนอื่นไปตลอดกาล
สามปีก่อน…
ลมพัดกระทบใบหน้าหวานละมุนที่ก้มหน้ากำบางสิ่งบางอย่างในมือแน่นหนา นัยน์ตาสั่นระริกเพ่งดูซองจดหมายฉบับเล็กซึ่งเธอแนบติดกายมาตั้งแต่ช่วงเช้า
จดหมายสารภาพ…
วันนี้น้ำค้างตั้งใจนำมันมาเพื่อมอบให้กับคลื่น เพื่อนชายคนสนิทที่หัวใจดันไม่รักดีคิดเกินเลยกับเขามากกว่าคำว่าเพื่อนเนิ่นนาน
ชายหนุ่มเป็นลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังในเมืองไทย บิดาเขาเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนใหญ่ใจกลางเมืองหลวง ส่วนมารดานั้นทำธุจกิจเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ตซึ่งมีมากกว่าสิบสาขาทั่วประเทศ
คลื่นเป็นผู้ชายหน้าเฉียวดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตร ผิวขาวละเอียดดุจดั่งน้ำนม เขามีลักยิ้มหวานไว้ล่อตาล่อใจสาวน้อยใหญ่รวมถึงเธอด้วย
‘น้ำค้างๆ’ เสียงเรียกทำเอาคนตัวเล็กที่กำลังจดจ่ออยู่ในภวังค์ผงะชะงักหันกลับไป
‘ว่าไง?’ เธอเลิกคิ้วถามเพื่อนสนิทอย่างสงสัย หากมือเล็กกำซองจดหมายบดบังเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้ใครรับรู้ความลับ
‘วันวาเลนไทน์ทั้งทีนี่แกกะจะนั่งซึมอยู่คนเดียวตรงนี้เหรอ?’ คะน้าหย่อนกายนั่งลงตรงหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบาง
‘…’
‘อะนี่ พี่บาสห้องสี่ฝากกุหลาบมาให้แก’ หล่อนว่าพลางเคลื่อนมองเพื่อนรักอย่างใคร่รู้
‘มองอะไรเนี่ย’
‘แกถืออะไรไว้ในมือ จดหมายอะไรใครสารภาพรักกับแก’
‘เปล่าไม่มี เพ้อเจ้ออะไร’ น้ำค้างปฏิเสธทันควันยิ่งเพิ่มพิรุธเป็นเท่าทวีคูณ ร่างเล็กในชุดนักเรียนรีบเก็บซองจดหมายไว้โต๊ะทันที
‘หืม…แน่ใจหรือแกจะสารภาพรักกับใคร?’
‘ฉะ…ฉันเปล่า’ เสียงหวานตะกุตะกักพยายามบดบังสีหน้าเขินอายของตนเองไว้สุดฤทธิ์ เรื่องที่เธอแอบรักคลื่นก็เก็บเอาไว้ในใจมาตลอด ได้แต่คอยช่วยเหลือและดูแลในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง
‘เฮ้ออ…เศร้าไหนจะไอ้คลื่น ไหนจะแกสรุปทิ้งฉันไปมีแฟนหมด เหลือไว้กับไอ้ก้องสองคนเซงวะ’
‘มะ…หมายความว่าไง?’ หัวใจดวงน้อยหล่นลงกองอยู่บนพื้นโดยอัตโนมัติ เพียงแค่ได้ยินประโยคราบเรียบแต่มีอนุภาพทำลายล้างความรู้สึกจนพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี
‘ก็ไอ้คลื่นไง มันขอพี่วีนาเป็นแฟนแล้ว’
‘งั้นเหรอ…เมื่อไหร่’ ฝืนถามทั้งที่อยากร้องไห้ปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจให้ไหลอาบแก้ม แต่กลับทำได้เพียงยิ้มตอบกลับคะน้าด้วยความยินดี
‘เมื่อเที่ยงเลยแก นี่ดูภาพสิโครตทุ่มเทดอกไม้ใหญ่เท่าบ้าน’
ภาพชายหนุ่มที่เธอรักหอบดอกกุหลาบสีแดงช่อโตพร้อมยื่นให้รุ่นพี่สาวด้วยใบหน้าเขินอายบาดลึกลงไปในหัวใจ น้ำค้างรับเครื่องมือสื่อสารเครื่องบางก่อนเพ่งดูให้ชัดราวกับไม่ยอมรับความจริงว่านั่นคือ…
เพื่อนที่แอบรักและพี่สาวคนสนิท
‘เฮ้ยยย…นั่นแกดีใจหรือเสียใจเนี่ย ทำไมตาแดงแบบนั้น’
‘ฉะ…ฉัน…ยินดีกับคลื่นไง…ได้สมหวังกับคนที่รักสักที’
‘แกโอเคใช่ไหม’ คะน้าถามย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง หล่อนมีสีหน้ากังวลอย่างไม่คิดปิดบัง
‘ฉันโอเคแก วันนี้ลมแรงแกก็รู้ฉันแพ้ลมแพ้ฝุ่น’
‘แน่ใจนะ’
‘…พี่วีนาเป็นพี่ที่ฉันรักส่วนคลื่นก็เพื่อนสนิท ฉันต้องยินดีสิน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าพวกเขาแอบรักกัน’ น้ำค้างอึ้งไปสักพักก่อนรู้ตัวว่าคะน้าจับพิรุธตนเองได้ เธอเว้นหายใจชั่วครู่แล้วอธิบายความคิดของตนเองทั้งหมดเพื่อให้เพื่อนสาวสบายใจ
‘ฉันเป็นห่วงแกนะน้ำ’
‘ไม่ต้องห่วง โอเคจริงๆ’ หญิงสาวส่งยิ้มใสให้คนตรงหน้าก่อนเอื้อมไปกอบกุมมือหล่อนไว้
‘แต่ยังไงก็ขอบใจแกอีกครั้งนะ’ ซึ้งในน้ำใจของเพื่อนสนิทจนต้องขอบคุณกลับไป
‘อืม’
‘ฉันไปห้องน้ำก่อน’ สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เอ่ยบอกลาเพื่อขอตัวไประบายความเสียใจทั้งหมดในห้องพยาบาลอยู่คนเดียวแล้วแกล้งบอกใครต่อใครว่าป่วย
อาการซึมเศร้าของน้ำค้างดำดิ่งลงเหวจนคะน้าไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้อีก ไม่ต้องรอให้เลิกเรียนหล่อนก็ถือวิสาสะเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้นจดจนได้รู้ความจริงว่า…
น้ำค้างแอบรักคลื่นมาตลอด
หล่อนรีบตรงไปหาเพื่อนสาวทันทีแล้วอยู่ปลอบใจจนน้ำคางเริ่มฝืนยิ้มได้เพื่อกลับมามองคลื่นในฐานะเพื่อนอีกครั้ง
ทว่าหนึ่งปีผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างวีนาและคลื่นกลับไปไม่รอด เมื่อหล่อนตัดสินใจไปต่อเมืองนอกและทิ้งเขาไว้ข้างหลังเป็นเพียงความทรงจำสีจาง
การกระทำของรักแรกทำให้ชายหนุ่มแสนดีแปรเปลี่ยนเป็นเสือร้าย คลื่นไม่เปิดใจรักใคร เขามอง ‘ความรัก’ เป็นสิ่งไร้ค่าที่ไม่สวยงามแม้แต่นิดเดียว
@ปัจจุบัน
ซ่า!
“ทำบ้าอะไรเพื่อนฉัน” น้ำแอลกอฮอล์สาดกระทบใส่หน้า จนหญิงสาวหลุดออกจากห้วงอดีตฉับพลัน คะน้าตวาดเสียงเขียวจ้องหน้าคู่กรณีเขม็ง หล่อนยืนเท้าสะเอวราวกับประกาศชัดว่าถ้าอยากมีเรื่องก็ให้พุ่งเข้ามา
“เฮ้ย! ใจเย็นไอ้น้า”
“เย็นบ้าอะไรของแกวะ ไม่เห็นมันทำน้ำค้างเหรอ” หล่อนหันไปมองก้องภพซึ่งกระชากมือเพื่อห้ามปราม
“ต้องการอะไรงั้นเหรอ ถามเพื่อนแกดีกว่าว่าเห็นฉันเป็นคนโง่หรือไง ไหนบอกพี่คลื่นสนใจฉันแล้วอีกวันทำไมถึงได้ไปกับคนอื่น”
น้ำค้างจำผู้หญิงคนนี้ได้ดี หล่อนคือเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยเรียนพิเศษช่วงที่ติวสอบเข้ามหาลัยฯ ใหม่ๆ
“ฉันว่าเรื่องนี้เธอควรไปถามคลื่นมากกว่านะ ไม่ใช่มาหาเรื่องฉัน”
“นี่แกจะปฏิเสธความรับผิดชอบเหรอ!” หล่อนพุ่งเข้ามาผลักร่างเล็กเข้าไปกระแทกโต๊ะทันที
“แกโอเคหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรแกฉันโอเค”
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ!” คะน้าปรี่เข้าไปพร้อมจะกระชากหัวยายผู้หญิงไร้ยางอายเพื่อเรียกสติ
“น้า…” น้ำค้างเอื้อมไปลูบแขนเพื่อนรักให้ใจเย็นลง
“ฉันจัดการเอง”
“…” สบตากันเพียงชั่ววินาทีก่อนพยักหน้าเหมือนกับรู้ทันความคิดกันอย่างดี
“ถ้าเธอไม่โมโหจนเสียสติ ฉันไม่ได้เป็นคนแนะนำให้เธอรู้จักกับคลื่นนะ เธอเข้ามาหาฉันบอกว่าอยากสนิทกับเขาเองไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงราบเรียบพูดอย่างใจเย็น หญิงสาวพยายามเก็บงำความโกรธเอาไว้ แม้ใจในจะร้องค้านขึ้นมาว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองต้องมารับกรรมเลยสักนิด
“นี่แกจะแก้ตัวเหรอ”
“ฉันไม่ได้แก้ตัว แต่เธอเป็นคนอยากเข้าหาเขาเอง”
“อีสารเลว!” คนตัวหน้าโมโหจนสุดขีด หล่อนง้างฝ่าเตรียมฟาดลงไปบนใบหน้าเชิดงามเพื่อระบายความบัดซบที่พบเจอมา
“ทำบ้าอะไรของเธอวะ!” แต่กลับทำได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เมื่อวินาทีถัดมาเสียงทุ้มดังสนั่นไล่หลังพร้อมสัมผัสบีบเคล้นเรียวแขนจนหล่อนมีสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“คะ…คลื่น” ชายหนุ่มผู้มาใหม่จ้องหน้าอดีตคู่ขาด้วยแววตาโกรธกรุ่น นัยน์ตาวาวโรจน์ฉายชัดรังสีอำมหิต
“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้มาลงที่ฉัน น้ำค้างไม่เกี่ยว” ร่างสูงปาดหน้าเข้าขวางดันคนตัวเล็กไว้ข้างหลังฉับพลัน
“ไม่เกี่ยวได้ไงในเมื่อฉันรู้จักนายเพราะเธอ” หล่อนเถียงไม่ยอมแพ้
“เหอะ เธอความจำเสื่อมหรือสมองไม่ดีกันแน่จำไม่ได้หรือไงว่าตัวเองอยากทำความรู้จักฉันเอง”
“ก็ฉัน…”
“เธอน่ะอ่อยฉันนานแล้วจำไม่ได้?”
“นายมันเลว ได้ฉันแล้วจะปัดความรับผิดชอบเหรอ!” หล่อนเปลี่ยนเรื่องพลันตวาดเสียงดังลั่น ปรี่ฟาดมือลงบนแผ่นอกกว้างผ่านเสื้อเชิ้ตสีดำ
“เป็นผู้ชายประสาอะไร เฮงซวยที่สุด!”
“ถ้าฉันเฮงซวยแล้วเธอมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม ไสหัวไปสิ” คนสารเลวแสยะยิ้มร้ายกาจพร้อมเลิกมองไปอีกทางเพื่อตอกย้ำคำพูด
“แต่นายได้ฉันแล้ว”
“แล้วฉันได้เธอคนเดียวหรือไง?”
“นะ…นาย”
“เตือนไว้หน่อยนะฉันไม่ใช่ไอ้โง่ดูออกว่าเธอหวังอะไร ถ้าไม่อยากอายก็กลับไปซะ” ใบหน้าคมคายโน้มลงกระซิบข้างกกหูเล็กด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ความเย็นชาของเขาเล่นเอาเจ้าหล่อนอยู่ไม่ติด ปกติคลื่นเป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว ถ้าหากยิ้มเย็นพร้อมกล่าวเตือนเรียบๆ แบบนี้ย่อมแปรว่าความอดทนนั้นใกล้หมดลง…
หล่อนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากชักสีหน้าและเดินจากไปทันที!