Ep.8
Priew talk.
"อ๊ะ! โอ๊ย ทำเบาๆ หน่อยสิหมอ มันแสบนะ" ฉันรีบดึงแขนตัวเองกลับ เมื่อพี่หมอจีนใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์มาแตะลงบริเวณแผลของฉัน โดยไม่เบามือเลยแม้แต่นิดเดียว
ขนาดเหมยที่อยู่เตียงข้างๆ มันหัวแตกและอาการหนักกว่าฉัน ฉันยังไม่ได้ยินเสียงมันร้องเจ็บเลย มีแต่ฉันนี่แหละที่ต้องนั่งทนให้พี่หมอทรมาน
"อยู่นิ่งๆ" พี่จีนเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะพูดเสียงดุ ก็มือหนักซะขนาดนี้จะให้อยู่นิ่งๆ ได้ยังไง
"ก็มันแสบอะ โอ๊ย! เบาๆ เป็นหมอจริงปะเนี่ยย แสบ!" ฉันร้องขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาเริ่มทำแผลให้ฉันอีกรอบ
"…" แต่เขาก็ไม่ได้สนใจและทำแผลให้ฉันต่อ จนฉันต้องคว้าหมอนมากัดเพื่ออดกลั้นความเจ็บที่กำลังได้รับ
"อื้ออออออ!!!" ตายแน่ๆ ฉันว่าฉันต้องตายแน่ๆ เป็นหมอที่มือหนักมาก ทำไมไม่อ่อนโยนเหมือนหน้าตาเลย!
ตอนมีเรื่องมันก็ไม่ได้กลัวเจ็บหรอก เพราะของมันขึ้น! อารมณ์นี่มาเต็ม อารมณ์ตอนนั้นมันไม่ได้มานั่งคิดหรอกว่าจะต้องมานั่งให้หมอทำแผลอยู่แบบนี้ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายแพ้ด้วย!
และเรื่องของเรื่องที่ทำให้ฉันต้องมานั่งทรมานทำแผลอยู่ตอนนี้ก็คือ...
หลังจากที่ฉันกับเหมยดูดวงเสร็จ ฉันกับมันก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ เพื่อจะไปทำงานต่อ ในหัวก็คิดเรื่องผู้ชายที่แม่หมอพูดว่าจะเป็นใครและใครที่พอจะเป็นไปได้ ฉันก็เดินไปปรึกษาเหมยมันไปด้วย
แต่อยู่ๆ ก็มีชะนีสี่คนมายืนขวางหน้าฉันกับเหมย แถมยังมองด้วยสีหน้าหาเรื่องอีกด้วย คุยไปคุยมาถึงได้เข้าใจว่าหนึ่งในชะนีพวกนั้นคือคนที่แฟนเหมยมันนอกใจไปนอนด้วยนั่นเอง
เหมยมันรู้เรื่องนี้แล้วล่ะ พอมันรู้มันก็ขอเลิกเลยทันที แต่อีชะนีนั่นมันไม่ยอมหยุด มันยังตามมาหาเรื่องเหมย ทั้งพูดจาไม่ดี พูดจาข่มเหมย ทั้งๆ ที่เหมยก็เลิกและไม่ได้ยุ่งอะไรกับผัวของนางแล้ว
แล้วก็นั่นแหละ เถียงกันไปกันมา ไม่มีใครยอมใคร เรื่องมันเลยใหญ่ขึ้นจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ แล้วจะให้ฉันทนอยู่เฉยๆ ได้ยังไง เพื่อนตัวเองกำลังจะโดนชะนีพวกนั้นรุมตั้งสี่คน!
ตบตีกันไปได้สักพัก ก็มีคนเข้ามาห้าม คงจะเห็นอาการฉันกับเหมยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็แน่ล่ะ สี่รุมสอง! ใครจะไปสู้ได้วะ คนที่เข้ามาห้ามเลยโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับ สุดท้ายก็ต้องมานั่งรับกรรมกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นี่ไง
"เสร็จแล้ว" พี่หมอพูดขึ้น พร้อมกับถอดถุงมือยางทิ้งลงถังขยะใกล้ๆ จากนั้นก็เก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับเข้ารถเข็น
ส่วนฉันที่กำลังจะใจขาดตายพอได้ยินคำนั้น ก็เลิกกัดหมอนและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่ง คิดว่าตัวเองจะตายแล้ว
"เฮ้อ~"
"คราวหลังก็อย่าไปห้าวที่ไหนอีกล่ะ"
"ง่ะ ฉันก็ไม่ได้อยากห้าวหรอก แต่ในสถานการณ์แบบนั้นไม่สู้ก็ตาย"
"พอสู้แล้วเป็นไงล่ะ ?" พี่หมอจีนถามพร้อมกับมองสภาพฉันที่มีแต่แผลเต็มตัว
"ก็...เจ็บไง" ฉันพูดพร้อมกับก้มหน้าอย่างยอมรับต่อสภาพของตัวเอง และพอฉันพูดจบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ซึ่งมันไม่ใช่เสียงพี่หมอจีน แต่เป็นพี่หมอติณณ์!
"ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตาย-_-" ฉันหันขวับไปมองตามเสียงทันที ก็เห็นพี่หมอติณณ์ยืนล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์ของหมอมองฉันอยู่ด้วยสีหน้านิ่งๆ
เอาจริงๆนะ ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลฉันโมโหมากๆ โมโหชะนีพวกนั้นจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่าผู้ชายสองคนที่ฉันเพิ่งรู้จักเมื่อคืน พอมาอยู่ในชุดกาวน์หมอตอนนี้ดูดีแค่ไหน
พี่ติณณ์จะดูเท่ห์ ดูหล่อ ถ้าบวกกับนิสัยเขาที่ฉันเจอมาเมื่อคืน เขาก็จะเป็นหมอสไตล์แบดๆ หน่อย แถมยังปากจัดด้วย
ส่วนพี่จีนรายนี้ละมุนจริงๆ ใบหน้าที่หล่อเหลา ดูสะอาดสะอ้าน ถ้ามองจากภายนอกเขาก็คือหมอที่อ่อนโยนและใจดีคนหนึ่ง แต่...เมื่อกี้เขามือหนักและดุฉันด้วยอะ ฉันขอตัดคำว่าใจดีกับอ่อนโยนออกไปก่อนละกัน แต่รวมๆ แล้วคือดูดี ดูดีมากๆ
แต่ตอนที่เห็นเขาอยู่ในชุดกาวน์ครั้งแรก ฉันไม่มีเวลาสังเกตและวี้ดเลย เพราะมัวแต่โมโหอิชะนีพวกนั้น
"ชิ! คนอย่างฉันไม่ตายง่ายๆ หรอกนะ"
"ก็ถ้ายังเที่ยวหาเรื่องใส่ตัวอยู่แบบนี้ คงอีกไม่นานหรอก"
"หมอ! นั่นปากเหรอ !?" มีหมอที่ไหนพูดกับคนไข้แบบนี้บ้าง เขาด่าฉันตั้งแต่เมื่อคืนละนะ!
เขาไม่สนใจที่ฉันพูด แต่หันไปคุยกับพี่หมอจีนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
"กูทำแผลเสร็จแล้ว กูไปตรวจคนไข้ของกูต่อละ"
"อืม ขอบใจมึงมาก" พี่หมอจีนพยักหน้าให้พี่หมอติณณ์ จากนั้นพี่หมอติณณ์ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องฉุกเฉินไปทันที
Rrrrrrrr~ Rrrrrrrrrr~
และในขณะที่พี่หมอจีนกำลังจะลุกออกไป เสียงสมาร์ตโฟนของฉันก็ดังขึ้น แต่ฉันเอื้อมหยิบมันไม่ถนัดเพราะรู้สึกตึงๆ ที่แผล และมันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่หมอจีนหันมามองฉันพอดี ถึงฉันจะรู้สึกเกรงใจนิดๆ แต่สุดท้ายฉันก็ต้องขอให้เขาหยิบมันออกมาให้ เพราะฉันเจ็บแผลจริงๆ
"มะ...หมอหยิบมือถือฉันในกระเป๋าให้หน่อยสิ"
พี่หมอไม่พูดอะไร แต่เดินไปล้วงกระเป๋าแล้วหยิบสมาร์ตโฟนของฉันออกมา แล้วพลิกดูราวกับมันเป็นของแปลก ไม่ยอมส่งมันมาให้ฉัน...??
"นี่...มือถือของเธอเหรอ ?" เขาถามพร้อมกับมองมันราวกับมันเป็นของแปลก
"ใช่ มือถือของฉันเอง ทำไมอะ"
"เปล่าๆ ไม่มีอะไร อะ รีบรับสิ" เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งสมาร์ตโฟนให้ฉัน แต่ฉันรู้หรอกว่าที่เขามองมันแบบนั้นก็เพราะว่า รุ่นนี้มันออกมานานมากๆ แล้วน่ะสิ และที่สำคัญคือแทบจะไม่มีใครใช้มันแล้ว ถ้ามันพังร้านซ่อมก็คือไม่มีอะไหล่ซ่อมให้แล้วอะ
ฉันรับสมาร์ตโฟนของตัวเองมาจากพี่หมอ และดูชื่อที่ปรากฏอยู่หน้าจอ ก่อนจะเบิกตาขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่าใครโทรเข้ามา
"ฉิบหายแล้ว!!"
"?"
"เหมย! เหมยๆ อีเหมย! ลุกเร็ว! งานเข้าแล้ว!!"
"เพื่อนเธอหลับอยู่ มีเรื่องอะไรทำไมต้องทำหน้าตกใจแบบนั้น" พี่หมอถามพร้อมขมวดคิ้วมองฉันด้วยความสงสัย
"เวร! ฉันกับเหมยต้องไปทำงานน่ะสิ สายแล้วผู้จัดการโทรตามแล้วเนี่ย!"
ตายๆ เมื่อวานก็หลับในเวลางาน วันนี้ก็ดันไปทำงานสายอีก ไม่ได้ๆ ฉันต้องรีบไปก่อนที่ฉันจะโดนไล่ออก!
"ไม่ต้องไป ยังไปไม่ได้"
"ทำแบบนั้นไม่ได้น่ะสิหมอ! ถ้าฉันไม่ไปฉันถูกไล่ออกแน่ ฉันฝากเพื่อนฉันก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปเคลียร์ผู้จัดการให้มันเอง ฝากด้วยนะ!" พูดจบฉันก็กระโดดลงจากเตียงผู้ป่วยทันที ก่อนจะหยิบประเป๋าตัวเองขึ้นมาสะพายและกำลังจะวิ่งออกไป
แต่สุดท้ายฉันก็ถูกดึงกลับมา พร้อมกระเป๋าที่ถูกถอดออกจากหลัง ก่อนจะถูกดันให้นอนลงบนเตียงผู้ป่วยตามเดิม จากนั้นฉันก็ต้องเจอสายตาดุๆของพี่หมอจีนอีกครั้ง...
"พูดให้รู้เรื่อง บอกว่ายังไปไม่ได้ก็คือไปไม่ได้"
"ตะ...แต่ว่า"
"หยุดเถียง แล้วนอนนิ่งๆ"
Priew talk end.
Fang talk.
20.30 น.
"โอเค วันนี้พอแค่นี้ก่อน ทุกคนทำดีมากครับ" สิ้นเสียงของคนที่เป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็รีบก้มหน้าเก็บของแล้วเดินออกจากห้อง เพราะประชุมมาตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว ทุกคนก็ต้องอยากที่จะกลับไปพักเป็นธรรมดา
เช่นเดียวกันกับฉัน ที่พอรู้ว่าเลิกประชุมปุ๊บฉันก็รีบเก็บของปั๊บ ก่อนจะรีบเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อหยิบกระเป๋า แล้วรีบเดินออกจากห้องทำงานทันที แต่...
ฉันเดินออกจากห้องทำงานได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดชะงักทันที เพราะเสียงของคุณพ่อที่ดังมาจากข้างหลัง
"จะรีบไปไหนครับลูกสาว ดูเรารีบๆ นะ"
ฉันก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเดินกลับไปหาพ่อตัวเองที่ยืนยิ้มมองฉันอยู่
"ดึกแล้วฟางก็ต้องรีบกลับสิ ฟางง่วงจะตายอยู่แล้ว เพราะป๊าคนเดียวเลย กว่าจะสั่งเลิกประชุมได้" ฉันยู่ปากพร้อมกับกอดแขนอ้อนๆ
"ก็งานมันไม่เรียบร้อยนี่ แล้ววันนี้เราจะนอนบ้านหรือนอนคอนโด ฮึ ?"
"นอนคอนโดค่ะ ฟางขี้เกียจขับรถกลับบ้าน" คอนโดอยู่ใกล้บริษัทมากกว่าบ้าน การนอนคอนโดเลยตอบโจทย์มนุษย์ที่ขี้เกียจอย่างฉันได้มากกว่า
"แล้วช่วงนี้น้องได้กลับมานอนที่ห้องบ้างหรือเปล่า" พ่อยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันพร้อมกับถามถึงจีนไปด้วย
"ก็กลับมาบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่" ส่วนมากถ้าวันไหนจีนต้องอยู่เวร จีนก็จะนอนที่ห้องพักแพทย์ที่โรงพยาบาลเลย
"ฟางได้แวะไปหาน้องบ้างไหม"
"ไปสิคะ ฟางเพิ่งไปมาวันนี้เอง เห็นฟางเป็นแบบนี้ฟางก็เป็นห่วงจีนอยู่นะป๊า"
"ดีแล้วล่ะ เราเป็นพี่ที่ดีมาก"
"เพราะฟางน่ารักไง^^" พูดจบฉันก็ยิ้มให้พ่อจนตาหยี่ ส่วนพ่อก็ยื่นมือมาผลักหัวฉันเบาๆ ทีหนึ่ง พร้อมกับหัวเราะในลำคอ
"หึๆ ไม่มีใครเกินเลยจริงๆ เรื่องอวยตัวเองเนี่ย"
"ฟางลูกใครลืมแล้วเหรอ"
"ลูกแม่สินะ"
"ถูกต้อง"
แล้วฉันกับพ่อก็ต่างหัวเราะกันออกมา ก่อนที่พ่อจะพูดขึ้น
"รีบกลับไปพักได้แล้ว ขับรถระวังๆ ด้วยล่ะ"
"รับทราบค่ะ ป๊าก็ขับรถดีๆ นะ ฝากคิดถึงแม่ด้วย จุ๊บ!" พูดจบฉันก็เขย่งเข้าขึ้นไปหอมแก้มพ่อตัวเอง ก่อนจะรีบเดินไปที่รถของตัวเองแล้วรีบขับออกจากบริษัททันที...
21.40 น.
ฉันไม่ได้กลับคอนโดแต่กลับขับรถมาจอดที่หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาไปมองนาฬิกาดิจิตอลของรถ
โอเค! ฉันมาทัน!
พอรู้ว่าตัวเองไม่ได้มาเลต ฉันก็กดปิดไฟหน้ารถ ก่อนจะนั่งรออยู่ในรถ พร้อมกับใช้สายตามองไปที่ทางเข้าออก เพื่อสังเกตคนที่กำลังเดินเข้า-ออกโรงพยาบาลแห่งนี้
ฉันนั่งอยู่ในรถสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่ฉันจะสังเกตเห็นคนคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงยีน และมีกระเป๋าพาดบ่า กำลังเดินออกมาจากโรงพยาบาล
ฉันรีบเปิดประตูลงไปจากรถ และเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วทำทีว่าบังเอิญผ่านมาพอดี
แต่ก่อนที่เขาคนนั้นจะได้เงยหน้าขึ้นมาเห็นฉัน ฉันก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์สองคนที่เดินตามหลังเขามาเงียบ กำลังง้างแท่งเหล็กเพื่อเตรียมจะฟาดใส่เขา
ทว่าก่อนที่พวกนั้นได้ฟาดเหล็กลงมา ฉันก็ตะโกนบอกเขาไปสุดเสียง
"ติณณ์! ระวัง!!"
"!?" ติณณ์เงยหน้าขึ้นมามองฉัน ก่อนจะรีบหันกลับไปมองข้างหลังของตัวเอง แต่ด้วยความที่ฉันกลัวว่าเขาจะหลบไม่ทันและถูกทำร้าย
ฉันก็รีบวิ่งพุ่งเข้าไปผลักติณณ์ให้หลบพวกนั้น ก่อนที่ฉันจะยกเท้าขึ้นถีบอกชายฉกรรจ์คนที่พุ่งเข้ามาก่อนจนมันเซถอยหลังไป...