“เอ่อ...ใช่ก็ได้” วีรณาตอบเสียงอ่อย ส่วนแพทริกก็ยิ้มพอใจในคำตอบ
“วี เดี๋ยวเรากลับก่อนนะ” ปรียาภัทรเอ่ยลา ก่อนจะสาวเท้าเดินหนีไป ด้วยอยากเปิดโอกาสให้วีรณาได้พูดคุยกับแพทริกแบบส่วนตัว
“เดี๋ยวสิ ข้าวหอมรอเราด้วย” วีรณาตะโกนไล่หลังแต่ไม่ทันเพราะปรียาภัทรหายไปแล้ว วีรณาหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ว่าไงครับ” แพทริกถามพร้อมเลิกคิ้วสูง อยากรู้ว่าเธอจะตอบเขาว่ายังไง
“เอ่อ...คือ...” วีรณาเอาแต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าตอบอะไรเขา
“แล้วเมื่อสักครู่ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะครับ ผมอุตส่าห์โทร.หา”
“อะไรนะคะ!” วีรณาร้องอย่างตกใจ
“เบอร์ผมเอง” รอยยิ้มบางๆผุดบนใบหน้าคมคายเมื่อเห็นคนตัวเล็กตกใจจนตาเบิกกว้าง
“วีครับ”
“คะ” วีรณาตกใจอยู่ดีๆแพทริกก็เรียกเธอขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ผมหิวแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนกลางวัน” แพริกแกล้งทำเป็นหน้าเจื่อน ทั้งที่จริงๆแล้วมีคนจัดอาหารไว้ให้เขา แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธมันเอง เพราะเขาตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะรอชวนเธอไปทานมื้อค่ำด้วยกัน
“เอ่อ...คุณแพทริกพอจะทานข้าวกล่องได้ไหมคะ” วีรณาชูถุงข้าวกล่องที่อยู่ในมือ เมื่อเห็นแพทริกเงียบไป วีรณาจึงคิดว่าเขาอาจจะไม่อยากทานอาหารที่เธอทำมา “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแพทริกไปทานที่ร้านอาหารดีกว่านะคะ” วีรณาหน้าจ๋อย แพทริกเห็นแล้วถึงกับอมยิ้ม
“ไม่เอา ผมจะกินข้าวกล่อง” ทันทีที่เขาตอบพร้อมทั้งส่งยิ้มให้เธอแบบล้อเลียน เธอจึงรู้ว่าเขาแกล้งให้เธอใจเสียคิดว่าเขาไม่อยากทานข้าวกล่องที่เธอตั้งใจทำมาให้เขา จึงคิดจะแก้เผ็ดคืนบ้าง
“วีเปลี่ยนใจแล้ว วีจะเอากลับไปทานเองดีกว่า เพราะอาหารที่วีทำไม่อร่อยหรอกค่ะ” วีรณาแสร้งว่าอย่างน้อยใจ แล้วทำท่าจะกลับจริงๆ
“โธ่...เดี๋ยวก่อนสิวี อย่าเพิ่งงอน ผมล้อเล่นนิดเดียวเอง” วีรณาหยุดฟังเขาแต่ไม่ได้พูดอะไรแถมยังทำท่าจะเดินหนีเขาอีก แต่มีหรือที่คนตัวโตจะยอม เขาจึงคว้าข้อมือเธอไว้ วีรณาตกใจมาก ก็รู้กันอยู่ว่าภูมิคุ้มกันของเธอต่อแพทริกมีน้อยเหลือเกิน
“ปล่อยวีเถอะนะคะ” วีรณาขอร้องเพราะรู้สึกใจหวิวคล้ายจะเป็นลมอยู่รอมร่อ จากสัมผัสของคนตรงหน้าที่เกิดขึ้นอย่างที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
“ไม่ปล่อยครับ แล้วก็ห้ามเป็นลมอีก เพราะถ้าวีเป็นลมผมจะอุ้มวีไปที่ห้องของผมและรับรองได้เลยว่าคืนนี้ทั้งคืนวีจะไม่ได้ออกจากห้องผมแน่” แพทริกพูดด้วยใบหน้าจริงจังพร้อมกับขู่คนตัวเล็กอยู่ในที ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้าทุกครั้งที่เจอกันแล้วเธอเป็นลม เขากับเธอคงจะคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ ส่วนคนตัวเล็กตาเบิกกว้างเพราะตกใจในสิ่งที่เขาพูด อะไรกันคนจะเป็นลมมันห้ามกันได้ด้วยหรือ แถมยังบอกว่าจะพาเธอไปที่ห้องของเขาอีก แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องปฏิบัติตามคำพูดของเขาอย่างเคร่งครัดก็คือ 'ถ้าวีเป็นลม คืนนี้ทั้งคืนวีจะไม่ได้ออกจากห้องผมแน่' วีรณาพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆหนึ่งครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นลมไปอีก แพทริกเห็นดังนั้นจึงยิ้มอย่างพอใจ
“มานั่งทางนี้ดีกว่าครับ” แพทริกจูงมือวีรณามานั่งที่สแตนด์ เธอก้าวเดินตามเขาไป พร้อมหัวใจดวงน้อยๆที่เต้นตึกตักอยู่ในอก
“คุณแพทริกจะทานข้าวที่นี่เลยหรือคะ” วีรณาถามเสียงสั่น เพราะแพทริกยังไม่ยอมปล่อยมือจากเธอสักที
“หรือว่าวีอยากไปทานที่ห้องผมล่ะครับ”
“ไม่ดีกว่า ตรงนี้ดีแล้วค่ะ” เธอรีบปฏิเสธด้วยเกรงว่าเขาจะพาเธอไปที่ห้องจริงๆ หลังจากตกลงสถานที่ทานมื้อค่ำกันเรียบร้อย เธอจึงยื่นข้าวกล่องให้เขา
“นี่ค่ะ ข้าวกล่อง” เมื่อเห็นว่าวีรณาเตรียมมาเพียงกล่องเดียว แพทริกจึงเอ่ยถามขึ้น
“แล้วของวีล่ะครับ”
“เดี๋ยววีจะกลับไปทานที่ห้องค่ะ คือจริงๆแล้ววีตั้งใจจะเอามาให้คุณแพทริกอย่างเดียว เอ่อ...ไม่ได้คิดว่าจะได้มานั่งทานด้วยกัน”
“ไม่เป็นไร กล่องเดียวก็ทานด้วยกันได้” แพทริกกล่าว
“แต่วีเอาช้อนมาแค่คันเดียวนะคะ”
“คันเดียวก็พอแล้วครับ หรือว่าวีรังเกียจที่จะใช้ช้อนร่วมกับผม”
“ปะ...เปล่านะคะ” วีรณารีบปฏิเสธเป็นพัลวัน เธอไม่ได้รังเกียจเขา แต่ก็อดที่จะรู้สึกแปลกๆไม่ได้
“ถ้างั้นทานเลยแล้วกันนะครับ” เขาตักข้าวใส่ปากตัวเองก่อนแล้วจึงตักข้าวอีกคำมาป้อนเธอ แต่จนแล้วจนรอดวีรณาก็ยังไม่ยอมเปิดปากสักที
“วีรังเกียจผมจริงๆด้วย” แพทริกแสร้งทำเป็นน้อยใจ “งั้นผมคงไม่กล้าทานอาหารที่วีทำมาให้แล้วล่ะ”
“เปล่านะคะ วีไม่ได้รังเกียจ ทานแล้วคะ” วีรณาจับมือของแพทริกที่กำลังถือช้อนไว้แล้วเอาข้าวเข้าปากทันที โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตัวโตกำลังยิ้มอย่างพอใจ พอรู้ตัวใบหน้าเธอก็ร้อนผ่าว
“ทานข้าวแล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะครับ” แพทริกแกล้งถามทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าวีรณากำลังเขินเขามากแค่ไหน
“ถ้าคุณแพทริกไม่ทานวีจะกลับแล้วนะคะ” วีรณายู่หน้ากลบเกลื่อนความอาย
“อย่าเพิ่งงอนสิครับ” ว่าแล้วแพทริกก็รีบตักข้าวใส่ปากทันที โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนตัวเล็กใบหน้าแดงเพิ่มขึ้นมาอีกเพราะอดคิดไม่ได้ว่าการใช้ช้อนคันเดียวกันก็เหมือนได้สัมผัสปากกัน คนตัวเล็กพยายามสลัดความคิดทะลึ่งของตัวเองออกไป
“วีเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมส่ายหน้าไปมาแบบนั้น”
“ปะ...เปล่าค่ะ” วีรณารีบยกมือขึ้นปฏิเสธพร้อมกับหยุดส่ายหน้าอย่างอัตโนมัติ ด้วยกลัวว่าจะถูกจับได้ แต่
แพทริกเดาว่าวีรณาต้องคิดเรื่องใช้ช้อนคันเดียวกันอยู่แน่ๆ ขนาดเขายังคิดเลย แพทริกตักข้าวป้อนให้เธอสลับกับเอาเข้าปากตัวเอง ขณะที่ป้อนก็จ้องใบหน้าเรียวงามอย่างไม่วางตา วีรณาหน้าร้อนผ่าวตลอดเวลา จนในที่สุดข้าวกล่องก็หมดเกลี้ยงจนได้
“น้ำค่ะ” วีรณาพูดพร้อมกับยื่นขวดน้ำเล็กๆให้แพทริก เขาจึงรับเอาไว้
“แล้วของวีล่ะครับ”
“อยู่นี่ค่ะ” เธอชูขวดน้ำในมือ
“น่าเสียดายจังนะครับ”
“เสียดายอะไรหรือคะ” คิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ
“น่าจะมีแค่ขวดเดียว”
“ทำไมล่ะคะ” คำตอบของเขายิ่งทำให้เธองงไปกันใหญ่
“ก็เราจะได้ดื่มน้ำจากขวดเดียวกันได้ยังไงล่ะครับ” ทันทีที่แพทริกพูดจบวีรณารู้สึกใจสั่นระรัว เธอหวังว่าหัวใจเธอจะไม่ทำงานหนักไปมากกว่านี้จนเป็นลมไปหรอกนะ
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่คุยเรื่องสัพเพเหระ จนวีรณาเห็นว่าดึกพอควรจึงขอตัวกลับ
“คุณแพทริกคะ เดี๋ยววีขอตัวกลับก่อนนะคะ มีรายงานที่ต้องทำอีกเยอะแยะเลยค่ะ”
“โอเคครับ ถ้างั้นให้ผมไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใกล้แค่นี้เอง วีกลับเองดีกว่า”
“จะดีหรือครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ วีกลับเองได้จริงๆ” ใช่ว่าเธอจะไม่เคยกลับค่ำๆมืดๆเสียเมื่อไหร่ และที่นี้ก็ไม่ได้ไกลจากอพาร์ตเมนต์ของเธอมากนัก
“แต่ผมว่า...” แพทริกยังพูดไม่ทันจบโรเจอร์และลูอิสก็เดินเข้ามาพอดี
“คุณแพทริกจะกลับเลยหรือเปล่าครับ” โรเจอร์ถามแพทริกอย่างนอบน้อม ก่อนจะยืนรอคอยฟังคำตอบ
“ฉันว่าจะไปส่งวีก่อน พวกนายกลับไปก่อนเถอะ” แพทริกหันไปตอบโรเจอร์
“ไม่ได้นะครับ ยังไงคุณแพทริกต้องกลับพร้อมพวกเรา เกิดเป็นอะไรขึ้นมาพวกเราก็แย่นะครับ ไหนจะบอสที่ลอนดอน ไหนจะคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ของคุณแพทริกอีก และไหนจะ...” ลูอิสยังสาธยายไม่ทันจบแพทริกก็ยกมือปรามไว้ เพราะรำคาญที่ลูอิสเอาคนใกล้ชิดเขามาอ้าง เมื่อเห็นว่าผู้ชายสามคนตรงหน้ายังตกลงกันไม่ได้ วีรณาจึงเอ่ยขึ้น