ว่าจบก็สาวเท้ายาวๆ ตรงดิ่งไปที่ห้องครัว ปล่อยให้อาม่ากันทราต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกระลอกกับความกวนประสาทของหลานชาย ส่วนนฤดลกับกิ่งดาวก็ทำเพียงยิ้มขำกับท่าทางของอาม่ากันทราและนฤบดินทร์ เพราะภาพที่ทั้งคู่เหย้าแหย่กันมักจะมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ
นิฏฐากลับมาถึงบ้านหลังเล็กในช่วงเวลาเกือบพลบค่ำ หญิงสาวจบการศึกษาปริญญาตรีคณะคุรุศาสตร์ และเข้าทำงานที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เธอเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์เด็กประถมศึกษาได้เกือบสองปี ตอนนี้อายุยี่สิบสามปีเต็ม นิฎฐาเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ความสูงของเธอคือหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร สีผิวของเธอค่อนไปทางสีน้ำผึ้งแต่ดูเรียบเนียนไปทั้งตัว โครงหน้าของหญิงสาวเป็นรูปไข่ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลดูเป็นประกายสดใส ปลายจมูกดูเชิดรั้นนิดๆ ริมฝีปากอวบอิ่มมักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา เว้นเสียแต่ยามที่เจ้าตัวอารมณ์บูด หน้าของเธอก็ดุเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ร่างแบบบางขยับแว่นสายตาที่สวมใส่เอาไว้ ก่อนจะผลักประตูรั้วไม้ระแนงสีน้ำตาลหม่นแล้วพาตัวเองเข้ามาด้านใน แล้วใช้สายโซ่คล้องประตูแล้วกดล็อกด้วยแม่กุญแจอีกที จากนั้นก็สาวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวบ้านแบบไม้ชั้นเดียวสีขาวหม่น อาณาบริเวณรอบๆ บ้านไม่ได้กว้างมากนัก แต่ยังพอมีร่มเงาจากต้นไม้ให้ความร่มรื่น หญิงสาวกระชับกระเป๋าสะพายที่พาดบ่าเอาไว้ ก่อนจะก้มหยิบรองเท้าไปวางบนชั้นวางรองเท้าที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน มือเล็กดึงบานประตูไม้แล้วพาตัวเองเข้าไปด้านใน วางกระเป๋าสะพายไว้บนโซฟาหวาย กวาดสายตามองหามารดา แต่พอได้กลิ่นอาหารโชยเข้าจมูก หญิงสาวก็ยิ้มออกมาทันที รีบสาวเท้าตรงไปยังห้องครัวขนาดเล็กที่อยู่โซนหลังบ้าน
“ทำอะไรกินจ๊ะแม่”
หญิงสาวสวมกอดมารดาจากด้านหลัง เล่นเอา ‘นิตา’ ผู้เป็นมารดาสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจ หญิงวัยสี่สิบห้าปีแต่ใบหน้ายังคงดูอ่อนเยาว์หันมาทำตาดุใส่บุตรสาวอย่างไม่จริงจังนัก
“เล่นอะไรลูก แม่ตกใจหมดเลย”
นิฏฐายิ้มบางๆ แล้วปล่อยมือจากเอวมารดา ก่อนจะขยับเท้ามายืนเคียงข้างท่าน ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังกระทะที่วางอยู่บนเตาแก๊ส ริมฝีปากอวบอิ่มขยับพูดคุยกับมารดา
“หอมจังเลยจ้ะ มันคืออะไรจ๊ะแม่”
“หอยตลับผัดฉ่าไงลูก”
“ขอชิมหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
นิฏฐาเอื้อมไปหยิบช้อนตักแกงที่วางอยู่ไม่ไกล ทำท่าจะตักอาหารจากกระทะมาชิม แต่ถูกมารดาตีมือเข้าเสียก่อน
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเลย เดี๋ยวค่อยมากินพร้อมกัน”
นิฏฐายู่หน้าใส่มารดางอนๆ อย่างไม่จริงจัง ตั้งใจจะสาวเท้าเข้าห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่มารดาบอก แต่จังหวะนั้นหญิงสาวได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเอาไว้
“คุณโซ่ คุณโซ่อยู่ไหมคะ”
สองแม่ลูกหันมามองหน้ากัน ก่อนนิฏฐาจะเป็นฝ่ายออกไปดูว่าใครมาเรียกเธอ
“อ้าว น้านุ่ม มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
ร่างแบบบางสาวเท้าไปหาคนที่เธอเรียกว่า ‘น้านุ่ม’ ซึ่งเป็นสาวใช้จากคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ติดอยู่กับรั้วบ้านของเธอ ซึ่งเจ้าของก็คือครอบครัวมีทรัพย์อนันต์ นุ่มเป็นสาวใช้วัยสี่สิบห้าปีซึ่งเป็นคนสนิทของ ‘อาม่ากันทรา’ ที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี
“คุณท่านให้ไปหาน่ะค่ะ เห็นว่ามีธุระจะคุยด้วย”
“ได้จ้ะ รบกวนน้านุ่มช่วยบอกอาม่าให้หน่อยนะคะ โซ่ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกินข้าวเดี๋ยวเดียว เสร็จแล้วโซ่จะรีบไปหาเลยค่ะ”
“ได้ค่ะ” นุ่มรับคำแล้วเดินกลับไป
รั้วบ้านของนิฏฐาติดกับคฤหาสน์มีทรัพย์อนันต์ ซึ่งเธอก็แวะเวียนเข้าไปในคฤหาสน์หลังงามนั่นอยู่บ่อยครั้ง ตรงรั้วบ้านของเธอมีประตูที่สามารถข้ามไปยังอาณาเขตของอีกฝั่งได้ ซึ่งคนที่สั่งให้ทำก็คืออาม่ากันทรา ท่านเอ็นดูนิฏฐาและไม่อยากให้หญิงสาวต้องเดินอ้อมไกล ก็เลยทำประตูบานเล็กเอาไว้ให้ เพื่อจะได้ไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวก
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและกินมื้อค่ำพร้อมมารดาเรียบร้อย นิฏฐาจึงใช้ประตูบานเล็กเป็นทางผ่านเข้าไปยังคฤหาสน์หลังงาม
ร่างแบบบางก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างคุ้นชิน เห็นว่าอาม่ากันทรานั่งรออยู่ที่โซฟาก่อนแล้ว พร้อมนุ่มที่นั่งค่อยรับใช้อยู่ที่พื้นพรม
“สวัสดีค่ะอาม่า มีอะไรจะคุยกับโซ่หรือคะ”
นิฏฐายกมือไหว้พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งใกล้กับคนสูงวัยกว่าโดยที่ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ อาม่ากันทราหันไปบอกคนสนิทก่อนที่จะเริ่มคุยกับหญิงสาว
“อานุ่ม ลื้อออกไปก่อน อั๊วจะคุยกับอาโซ่”
นุ่มรับคำก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไป เมื่อร่างของนุ่มลับสายตาอาม่ากันทราจึงหันมาหานิฏฐา ยกมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นมากอบกุมเอาไว้
“อั๊วมีเรื่องอยากให้ลื้อช่วย”
“เอ๊ะ! ให้โซ่ช่วยหรือคะ”
นิฏฐาเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ ดวงตากลมโตจ้องใบหน้าของผู้สูงวัยกว่าที่กุมมือเธอเอาไว้ หญิงสาวเดาไม่ออกเลยจริงๆ ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะช่วยเหลืออะไรมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาล กินไปอีกสิบชาติก็ไม่หมดอย่างอาม่ากันทราได้
“ใช่ มีแต่ลื้อเท่านั้นที่จะช่วยอั๊วได้”
“ช่วยเรื่องอะไรคะอาม่า”
น้ำเสียงที่ดูจริงจังของคนสูงวัยกว่าทำให้นิฏฐาเริ่มใจคอไม่ดี เรื่องที่ท่านต้องการให้เธอช่วยจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วอย่างเธอจะช่วยได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
“รับปากอั๊วสิว่าลื้อจะช่วย อาโซ่ อั๊วขอร้อง”
ทั้งน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางของอาม่ากันทรา บ่งบอกได้ว่าท่านไม่ได้ล้อเล่น และตอนนี้นิฏฐาก็มึนงงไปหมด เพราะท่านยังไม่ยอมบอกว่าจะให้เธอช่วยเรื่องอะไร
“อาม่าจะให้โซ่ช่วยเรื่องอะไรคะ” นิฏฐาจำต้องถามย้ำอีกครั้ง
“รับปากอั๊วก่อน แล้วอั๊วจะบอก ถือเสียว่าเห็นแก่คนแก่ที่ใกล้จะเข้าโลงเต็มทีนะอาโซ่นา”
คำพูดของอาม่ากันทราทำให้นิฏฐาใจหายวาบ ถึงแม้ว่าเรื่องความเป็นความตายจะเป็นเรื่องธรรมชาติก็จริง แต่เธอเพิ่งจะเสียบิดาไปเมื่อสองปีก่อน และถึงแม้ว่าอาม่าจะไม่ใช่ญาติทางสายเลือด แต่ความผูกพันที่มีต่อกันทำให้เธอไม่พร้อมจะรับฟังเรื่องที่ท่านเอ่ยมา เธอยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียใครทั้งนั้น
“ได้ค่ะ ถ้าอาม่าเห็นว่าโซ่ช่วยได้ โซ่ก็จะช่วย”
ไม่ว่าท่านจะให้ช่วยด้วยเรื่องอะไร เธอก็ยินดี ด้วยไม่อยากให้ท่านพูดถึงเรื่องความเป็นความตายอีก อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“ลื้อช่วยมาเป็นหลานสะใภ้อั๊วที”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ร่างกายของเธอแข็งทื่อราวถูกสาป ไม่ใช่แน่ สิ่งที่เพิ่งจะเข้าหูเธอเมื่อสักครู่นั่นเป็นเพราะเธอคงหูฝาดไปเท่านั้น แต่เพื่อความแน่ใจเธอควรถามย้ำอีกครั้ง
“อะ อาม่าว่าไงนะคะ”
“อั๊วบอกว่าช่วยมาเป็นหลานสะใภ้อั๊วที”