บทที่4-2

1990 คำ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา งานแต่งงานของนฤบดินทร์และนิฏฐาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในแบบพิธีจีนผสมไทย โดยสถานที่จัดงานก็คือคฤหาสน์มีทรัพย์อนันต์ เนื่องจากพื้นที่บ้านเจ้าสาวมีจำกัด เกรงว่าจะไม่สามารถรองรับแขกเหรื่อได้อย่างเพียงพอ จึงเลือกบ้านเจ้าบ่าวแทน ซึ่งฝั่งเจ้าสาวที่มีแค่นิฏฐาและนิตาก็เห็นด้วย คนที่ถูกเชิญมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในวันนี้ก็คือ ‘ธัชพล’ หรือ ‘ธัช’ ลูกชายเจ้าของคอนโดฯ หรูหลายแห่งในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนฤบดินทร์สมัยปริญญาตรี เจ้าตัวแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่มีการเปลี่ยนเจ้าสาว เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวทราบว่านฤบดินทร์คบหากับช่อทิพย์ แต่เจ้าสาวในวันนี้กลับกลายเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างนิฏฐา ธัชพลคุ้นเคยกับเจ้าสาวของนฤบดินทร์ในระดับหนึ่ง เพราะเวลาที่เขามาหานฤบดินทร์ที่บ้าน ก็มักจะเจอเจ้าตัวมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เพื่อนของเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ธัชพลเชื่อว่านฤบดินทร์ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจอะไรโดยพละการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องผ่านการไตร่ตรองมาเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ในวันนี้ก็คือทำหน้าที่เพื่อนเจ้าบ่าวและมาร่วมแสดงความยินดี เนื่องจากตระกูลมีทรัพย์อนันต์เป็นตระกูลเก่าแก่ และมีคู่ค้าจากหลายแห่งด้วยกัน ผู้ที่ถูกเชิญมางานแต่งในครั้งนี้จึงค่อนข้างคับคั่งพอสมควร หลักๆ ก็เห็นจะเป็นตัวแทนจากบริษัทเอซี คอร์ป ที่เป็นคู่ค้ากันมาอย่างยาวนานมาร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ด้วย และคู่รักคู่แค้นอย่างกุศลการสีข้าวก็มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย แม้จะไม่ได้รับเชิญก็ตาม มาทั้งพ่อทั้งลูก โดยคนเป็นลูกควงผู้หญิงมาด้วยนั่นก็คืออดีตแฟนสาวของเจ้าบ่าวอย่างช่อทิพย์ ที่เชิดหน้าคอตั้งบ่า ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น ช่อทิพย์จงใจทำแบบนั้นเพื่อบอกให้รู้ว่าเธอไม่ใช่ของตายของนฤบดินทร์ และย้ำชัดว่าเธอไม่ต้องการรอเขา เจ้าบ่าวอย่างนฤบดินทร์ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่ออดีตแฟนสาวควงคนอื่นมางาน โดยเฉพาะคนๆ นั้นคือกุลิสร์ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทั้งคู่สนิทสนมกันขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร รู้แค่ว่ากุลิสร์เคยจีบช่อทิพย์ แต่เจ้าตัวเลือกเขา แต่ความสัมพันธ์ของเจ้าตัวหลังจากนั้น เขาไม่รู้ บางทีช่อทิพย์อาจจะแค่ควงกุลิสร์มาประชดเขาก็เป็นได้ นฤบดินทร์อดที่จะปวดแปลบในอกไม่ได้ สายตาคู่คมคอยแต่จะมองช่อทิพย์ที่ควงแขนกุลิสร์ไปทั่วงาน และคนที่เจ็บแปลบในอกไม่ต่างกันก็คือเจ้าสาวอย่างนิฏฐา ที่เจ้าบ่าวเอาแต่มองอดีตคนรักอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวก้มหน้างุด มือเล็กประสานกันอยู่ด้านหน้า ระหว่างทั้งคู่ยืนส่งแขกเหรื่อที่กำลังทยอยกลับ และอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาส่งตัวบ่าว-สาวเข้าหอแล้ว รักตกันท์มาร่วมงานในฐานะเพื่อนเจ้าสาว ส่วนอนลัสไม่ได้มา เจ้าตัวอ้างว่าติดธุระด่วนต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งรักตกันท์ทราบดีว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง อนลัสกำลังอยู่ในช่วงทำใจ จากการที่นิฏฐาแต่งงานกะทันหันนั่นแหละ ซึ่งเธอทราบในข้อนั้นดี เจ้าตัวคงจะฝืนปั้นหน้ามาร่วมงานไม่ไหว คงต้องปล่อยให้เพื่อนมีเวลาเยียวยาหัวใจไปก่อน เมื่อเห็นเพื่อนเอาแต่ก้มหน้า เพื่อนเจ้าสาวอย่างรักตกันท์ที่ยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังจึงขยับมาใกล้ ก่อนจะกระซิบกระซาบพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “แกไหวแน่เหรอโซ่ แค่พี่ดินทร์เค้ามองอดีตคนรัก แกก็ทำหน้าจะเป็นจะตายแล้วนะ” นิฏฐาเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดสะเทือนใจ ก่อนจะเอี้ยวใบหน้าหันไปพูดกันรักตกันท์ “ต้องไหวสิ มาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องไหว” คำตอบที่ส่งให้รักตกันท์ว่ายังไงก็ไหวคล้ายกับคำพูดที่หญิงสาวใช้ปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า รักตกันท์ทำเพียงส่ายหน้าเบาๆ แล้วขยับเท้าถอยมายืนที่เดิม ก่อนจะเหลือบสายตาไปด้านข้างเห็นเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างธัชพลที่เธอเพิ่งจะเจอเขาวันนี้เป็นวันแรกส่งยิ้มบางๆ มาให้ รักตกันท์จึงยิ้มตอบกลับไปตามมารยาท “จำเอาไว้ด้วยว่างานแต่งงานในครั้งนี้เกิดขึ้นนั่นเป็นเพราะเพื่อความสบายใจของอาม่าและเพื่อสะเดาะเคราะห์เท่านั้น ถึงแม้เราจะจดทะเบียนสมรสกันแล้ว แต่นั่นก็เป็นไปตามเงื่อนไขหนึ่งปีตามที่ซินแสว่าเอาไว้ เมื่อถึงกำหนดพี่ก็หวังว่าโซ่จะไม่บ่ายเบี่ยง และพอเวลานั้นมาถึงพี่ก็ไม่ได้จะให้โซ่ออกไปตัวเปล่า ทุกๆ เดือนนับจากนี้พี่จะมีค่าเสียเวลาให้โซ่ด้วย และพอครบกำหนดโซ่ก็จะได้ค่าเสียเวลาก้อนใหญ่ ต่อจากนี้ถึงแม้ว่าเราจะต้องอยู่ร่วมห้องกัน แต่โซ่ไม่ต้องกังวลพี่จะไม่แตะต้องโซ่เด็ดขาด เราเคยใช้ชีวิตอย่างไรก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้น และเราจะเป็นเพียงสามี-ภรรยาตามนิตินัยเพียงเท่านั้น” คำพูดของคนเป็นเจ้าบ่าวก่อนหน้านี้ยังคงก้องในหัวของหญิงสาวจนยากที่เธอจะสามารถสลัดมันออกไปได้ง่ายๆ หลังจากได้ฤกษ์ส่งตัวเข้าหอ เธอและเจ้าบ่าวก็ถูกญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพาขึ้นมายังชั้นสองของคฤหาสน์มีทรัพย์อนันต์ ห้องหอของเธอก็คือห้องเดิมของชายหนุ่ม ที่ถูกต่อเติมใหม่ภายในเวลาอันรวดเร็ว รวมทั้งมีการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ด้วย หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปจากห้อง ทั้งห้องก็ต้องอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจเท่านั้นที่บ่งบอกได้ถึงการมีตัวตนของเขาและเธอภายในห้องนี้ เจ้าบ่าวของเธอขยับตัวลุกจากเตียงขนาดคิงไซซ์ทันทีที่ประตูไม้สักสีเข้มถูกปิดลง คนตัวสูงตรงดิ่งเข้าห้องน้ำไปโดยไม่พูดจากับคนเป็นเจ้าสาวอย่างเธอเลยสักคำ ก่อนจะก้าวออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินไปสวมเสื้อผ้าที่หน้าตู้บิลด์อินหลังใหญ่ หลังจากที่เขาแต่งตัวเสร็จก็เดินมาหาเธอ พูดประโยคดังกล่าวกับเธอ หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายน้ำอุ่นๆ ที่ไหลผ่านเรือนกายไม่ได้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศในคืนเข้าหอเต็มไปด้วยความอึดอัดจนเธอแทบหายใจไม่ออก แต่คงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากต้อง ‘ทน’ และเธอก็เป็นคนเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเธอเอง ร่างแบบบางสวมชุดนอนแบบกางเกงขายาวและเสื้อแขนยาวตอนที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำ เพราะเธอหอบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเข้ามาด้วย และเธอก็เป็นคนถอดชุดแต่งงานกี่เพ้าสีขาวแบบเรียบหรูด้วยตัวเอง โชคดีที่มันไม่ได้ถอดยากนักอย่างที่เธอกังวลใจ ใบหน้าเรียวมีแว่นสายตาประดับเอาไว้ ก่อนหน้านี้เธอใส่คอนแทคเลนส์ เมื่องานแต่งงานสิ้นสุดลงเธอก็กลับมาสวมแว่นสายตาเช่นเดิม ในอ้อมแขนของเธอหอบชุดแต่งงานตัวดังกล่าวออกมาด้วย หญิงสาวเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ที่ปลายเตียงนอน เท้าของเธอชะงักไปเล็กน้อยเพราะสายตาคู่นั้นมองมาที่เธอ แต่เพียงอึดใจหญิงสาวก็ขยับเท้ามายังมุมที่มีตะกร้าผ้าวางอยู่ นิฏฐาชั่งใจอยู่พักใหญ่ เพราะในตะกร้ามีเสื้อผ้าของนฤบดินทร์อยู่ก่อนแล้ว และเธอก็คงไม่กล้าเอาเสื้อผ้าของตัวเองไปปนกับของเขาเด็ดขาด “เอ่อ เดี๋ยวโซ่ขอออกไปข้างนอกแป๊บนึงนะคะ จะไปหาตะกร้าผ้าใบใหม่” เธอหันไปบอกร่างสูงที่นั่งห้อยขาอยู่ปลายเตียง แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ความคิดของเธอต้องสิ้นสุดลงตรงนั้น “ไม่รู้รึไงว่าคืนเข้าหอ โบราณเค้าไม่ให้ออกจากห้องจนกว่าจะเช้า” น้ำเสียงนิ่งๆ เย็นๆ ของคนตัวสูงทำให้นิฏฐาต้องฝืนส่งยิ้มแหยไปให้เขา จริงสินะ เธอมัวแต่กังวลเลยลืมคิดถึงข้อนั้นไปเลย “ใส่ตะกร้าเดียวกันนั่นแหละ อย่ามากเรื่อง” ว่าจบคนตัวสูงก็ขยับตัวขึ้นเตียง แล้วเอนตัวลงนอนในท่านอนหงาย มือหนาประสานกันแล้วใช้รองศีรษะตัวเองเอาไว้ แต่ดวงตาคู่คมยังจ้องมองมาที่ร่างแบบบางที่ยังคงจดๆ จ้องๆ อยู่ที่เดิม “ไม่ได้ยินที่พี่พูดรึไง เอาผ้าใส่ตะกร้าแล้วมานอน” “ดะ ได้ยินค่ะ” นิฏฐาจัดการหย่อนเสื้อผ้าในอ้อมแขนลงตะกร้าทันทีโดยไม่ต้องรอให้คนบนเตียงเอ่ยปากซ้ำสอง ก่อนจะขยับเท้ามาที่เตียง แต่ร่างแบบบางชะงักเท้าเอาไว้เสียก่อน เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นโซฟาเบดที่มุมซ้ายของห้องซึ่งตั้งห่างจากเตียงนอนขนาดคิงไซซ์พอสมควร “เดี๋ยวโซ่นอนที่โซฟาเบดตัวนั้นก็ได้ค่ะ พี่ดินทร์จะได้ไม่อึดอัด” หญิงสาวว่าพลางชี้มือไปที่โซฟาเบดตัวดังกล่าว คนตัวสูงที่นอนอยู่บนเตียงเหลือบสายตาไปทางนั้น ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ร่างเล็กที่กำลังฉีกยิ้มที่ดูเหมือนการแยกเขี้ยวเสียมากกว่า “เตียงไม่ได้เล็กขนาดนั้น ขึ้นมานอนที่เตียง อย่าเรื่องมาก” นฤบดินทร์ย้ำชัดถ้อยชัดคำ ดวงตากลมโตไหวระริก ถึงแม้เจ้าตัวจะย้ำชัดนักหนาว่าจะไม่ล่วงเกินเธอ แต่เธอก็ไม่สะดวกใจที่จะนอนเตียงเดียวกันกับเขาอยู่ดี ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในสถานะภรรยาตีทะเบียนของเขาแล้วก็ตาม “ไม่ได้เรื่องมากนะคะ โซ่ก็แค่...เกรงใจ” “หึ” หญิงสาวได้ยินเสียงแค่นหัวเราะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร แต่เธอไม่ได้โต้ตอบอะไร ทำเพียงเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น “ขึ้นมานอนได้แล้ว พี่ง่วง จะได้ปิดไฟ เปิดไฟแบบนั้นพี่นอนไม่หลับหรอก” สิ้นเสียงทุ้มนิฏฐาจึงค่อยๆ ขยับเท้าไปที่เตียงอย่างหวาดๆ แต่ก็พยายามข่มอาการเหล่านั้นเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องนอนร่วมเตียงกับคนอื่นนอกจากมารดา แถมยังเป็นคนที่เธอหลงรักเข้าเต็มเปาเสียด้วย จะไม่ให้เธอรู้สึกประหม่าได้อย่างไรไหว ถึงแม้นฤบดินทร์จะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเธอก็เถอะ ออกจะเหม็นขี้หน้าเธอด้วยซ้ำ ร่างเล็กค่อยๆ เอนตัวลงนอนฝั่งตรงกันข้ามกับร่างสูงที่จับจองพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว โดยร่างเล็กขยับจนชิดขอบเตียง และเธอก็นอนหันหลังให้เขา เมื่อนฤบดินทร์เห็นว่าอีกฝ่ายขึ้นมานอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเอื้อมมือปิดไฟที่หัวเตียง แสงสว่างที่เคยมีหายไปทันที เหลือเพียงแสงจันทร์สลัวที่สาดส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ร่างเล็กนอนตัวเกร็ง เมื่อจู่ๆ รู้สึกว่าฟูกด้านหลังเริ่มขยับ ก่อนที่เสียงทุ้มจะดังขึ้นพร้อมๆ กับผ้าห่มที่หล่นมาคลุมร่างของเธอ “ห่มผ้าด้วย พี่ขี้ร้อนและพี่ก็ชอบเปิดแอร์นอน” ร่างสูงบอกแค่นั้นก่อนจะขยับถอยห่างออกไป นิฏฐากระชับผ้าห่มผืนดังกล่าวเอาไว้แน่น รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก อย่างน้อยคนตัวสูงก็ไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจที่มีเธอมาร่วมห้องด้วยมากนัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม