“อะไรนะ! แกจะแต่งงาน ล้อเล่นน่า”
“ฉันจะแต่งงานจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้ล้อเล่นด้วย”
นิฏฐาว่าพลางหยิบแก้วพลาสติกทรงสูงที่ภายในบรรจุน้ำมะนาวปั่นเอาไว้ขึ้นมาดูดด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าเพื่อนสนิทอย่าง ‘รักตกันท์’ หรือ ‘รัก’ ซึ่งเป็นคุณครูสอนวิชาสังคมศึกษาที่โรงเรียนเดียวกันกับเธอ ตอนนี้ทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารกลางวันภายในโรงอาหารของโรงเรียน แต่สีหน้าและท่าทางที่รักตกันท์มองกลับมา มันแปลได้ไม่ยากเลยว่ารักตกันท์ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอบอกออกไป
“จริงๆ นะ ฉันไม่ได้โกหก”
นิฏฐาจำต้องเน้นย้ำอีกครั้ง แต่ฝ่ายตรงข้ามยังคงส่ายใบหน้าไปมา เป็นการใช้ภาษากายบอกว่าไม่เชื่อในถ้อยคำที่เธอกล่าวอ้างเลยสักนิด จนนิฏฐาต้องพ่นลมหายใจเบาๆ ส่งสายตาขุ่นไปให้รักตกันท์อย่างไม่จริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะสาวๆ”
‘อนลัส’ หรือ ‘เอ็ม’ เป็นคุณครูสอนวิชาพละศึกษาและเป็นเพื่อนสนิทของนิฏฐาและรักตกันท์ มือข้างหนึ่งของเขาถือจานอาหาร ส่วนอีกข้างถือแก้วน้ำ เดินมาที่โต๊ะที่สองสาวนั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างนิฏฐา พร้อมๆ กับวางจานอาหารและแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ดวงตามองไปที่นิฏฐาสลับมองใบหน้าคนที่นั่งตรงข้ามอย่างรักตกันท์ที่เอาแต่ส่ายหน้ารัวๆ
“ก็โซ่น่ะสิ บอกว่าจะแต่งงาน ร้อยก็ไม่เชื่อ พันก็ไม่เชื่อ”
รักตกันท์ว่าพลางส่ายหน้า แต่คนฟังอย่างอนลัสถึงกับลมหายใจสะดุด ร่างแกร่งชะงักไปเกือบนาที กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ ไม่แปลกเลยที่เจ้าตัวจะเกิดอาการแบบนั้นเพราะในเมื่ออนลัสหลงรักเพื่อนอย่างนิฏฐามานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าบอกออกไปเพราะเกรงว่าความเป็นเพื่อนจะหายไปแล้วมองหน้ากันไม่ติด เขาจึงทำได้เพียงเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในใจ แต่ข้อมูลที่เพิ่งจะได้รับรู้มาทำให้เขาต้องถามออกไป
“จริงเหรอโซ่”
นิฏฐาพยักหน้ารับก่อนจะให้คำตอบแก่อนลัส
“ใช่จ้ะเอ็ม งานแต่งงานจะจัดอาทิตย์หน้า รักกับเอ็มต้องไปงานโซ่ด้วยนะ”
“แล้วเจ้าบ่าวของโซ่ล่ะ”
อนลัสถามเสียงสั่นนิดๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถควบคุมมันได้ ใบหน้าคมคายดูเจื่อนลงทันควัน นิฏฐาไม่ได้ทันสังเกตถึงความผิดปกตินั้น แต่คนที่เห็นก็คือรักตกันท์ ที่จับตามองปฏิกิริยาของอนลัสอยู่ก็แล้ว หญิงสาวเข้าใจความรู้สึกของอนลัสดี เพราะทราบดีว่าอนลัสแอบชอบนิฏฐามานานแล้ว
ส่วนตัวเธอนั้นก็แอบชอบเขา นี่ละ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ เพราะเธอปกปิดมันเอาไว้
“ก็...พี่ดินทร์ไง”
นิฏฐาว่าพลางหยิบน้ำมะนาวปั่นขึ้นมาดูดไปหนึ่งอึกแก้อาการขัดเขินยามที่เอ่ยถึงชื่อของนฤบดินทร์ โดยปฏิกิริยาของคนฟังทั้งสองคนแตกต่างกัน อนลัสหน้าเจื่อนลงยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มเหมือนถูกใบ้กินไปชั่วขณะ ส่วนรักตกันท์ยู่หน้าคล้ายไม่ชอบใจนัก เพราะหญิงสาวทราบดีว่านิฏฐานั้นตกหลุมรักนฤบดินทร์เข้าเต็มเปาและก็รู้ด้วยว่าตกหลุมรักมานานแล้ว
“โซ่ แกลุกไปคุยกับฉันตรงโน้นหน่อย”
รักตกันท์ว่าพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านนอกโรงอาหาร นิฏฐาพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้น แล้วหันไปบอกชายหนุ่มคนเดียวภายในกลุ่มที่นั่งนิ่งราวถูกหินสาป
“เอ็มรอแป๊บนะ”
อนลัสทำเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างฝืนๆ ก่อนจะกลับมาทำหน้าเจื่อนดังเดิมเมื่อสองสาวเดินหายไปจากโต๊ะแล้ว
รักตกันท์จูงมือนิฏฐามาที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะกดไหล่เพื่อนให้นั่งลงที่ม้านั่งตัวดังกล่าว แล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งตัวเดียวกัน
“โซ่ อย่าหาว่าฉันก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของแกเลยนะ แกก็รู้นี่ว่าพี่ดินทร์ของแกน่ะเค้ามีคนรักอยู่แล้ว แล้วแบบ...แกยังบอกว่ากำลังจะแต่งงานกับเค้าอีก ฉันไม่เข้าใจแกเลยจริงๆ”
รักตกันท์ว่าพลางส่ายหน้า แล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ นิฏฐาทำหน้าอ้อนนิดๆ ก่อนจะให้คำตอบแก่รักตกันท์
“แกต้องเชื่อใจฉันนะรัก ฉันมีเหตุผลที่ตอนนี้ยังบอกแกไม่ได้ แต่ฉันอยากให้แกรับรู้เอาไว้ว่าที่ฉันตัดสินใจแต่งงานกับพี่ดินทร์เพราะฉันมีความจำเป็นจริงๆ”
“แล้วคนรักของพี่ดินทร์ของแกเค้าไม่เม้งแตกเหรอ จู่ๆ คนรักก็ไปแต่งงานกับคนอื่นซะงั้น”
“...” นิฏฐาส่ายหน้าเบาๆ รักตกันท์จึงแปลตามความเข้าใจของตัวเอง
“เค้าไม่ว่าอะไรเลย”
นิฏฐายิ้มแหยก่อนจะตอบออกมา “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกแก คือ...ฉันไม่รู้น่ะ”
นิฏฐาตอบออกไปตามตรง เพราะเธอไม่รู้จริงๆ ว่าปฏิกิริยาของฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไร และเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าบ่าวของเธอไปบอกคนรักของตัวเองแบบไหน แต่สุดท้ายคนที่จะได้เป็นเจ้าสาวของเขาก็คือเธอเท่านั้น
“โซ่ ฉันว่าแกกำลังหาเรื่องใส่ตัว ฉันไม่ได้จะแช่งแกนะ แต่ฉันบอกเอาไว้เลยว่า ชีวิตการแต่งงานของแกไม่ราบรื่นและไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน”
“ฉันก็พอจะรู้อยู่นั่นแหละ แต่อย่างที่บอก ฉันจำเป็น”
นิฏฐารับคำด้วยสีหน้าเจื่อน จนคนมองอย่างรักตกันท์อดที่จะเห็นใจกับท่าทางหงอยๆ ของเพื่อนเสียไม่ได้
“เอาละๆ ในเมื่อแกตัดสินใจไปแล้ว ฉันก็คงห้ามอะไรไม่ได้ แต่ถ้าแกมีปัญหา บอกฉันได้ ยังไงฉันก็เป็นเพื่อนแก”
“ขอบใจนะ รักแกที่สุดเลย”
เมื่อรักตกันท์บอกแบบนั้น นิฏฐาจึงโผเข้ากอดอีกฝ่ายเอาไว้เสียแน่น จนรักตกันท์หายใจหายคอไม่สะดวกนัก แต่ก็ยินยอมปล่อยให้อีกฝ่ายกอดจนพอใจ
“ดินทร์ว่าอะไรนะคะ!”
“ช่อ ใจเย็น นั่งลงก่อน คนอื่นมองมาที่เรากันหมดแล้ว”
นฤบดินทร์พยายามบอกให้แฟนสาวที่กำลังยืนขึ้นแล้วทาบมือลงบนโต๊ะอาหารให้นั่งลง ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในร้านประจำที่มักจะพากันมารับประทานอาหารอยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะมีอาหารรสเลิศอยู่ตรงหน้า แต่ตอนนี้ช่อทิพย์ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หน้าตาของหญิงสาวบูดบึ้ง ตวัดสายตามองคนรักที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงอย่างขุ่นเคือง
“ดินทร์ยังมีหน้ามาบอกให้ช่อใจเย็นอีกอย่างนั้นเหรอคะ หึ”
ท้ายประโยคช่อทิพย์ทำเสียงขึ้นจมูก เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอไม่พอใจเรื่องที่คำพูดมาเลยสักนิด นัดเธอมากินข้าว แล้วบอกว่ากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน เธอไม่ใช่ของตายของเขาหรอกนะ
“ผมบอกช่อไปแล้วนี่ครับว่าผมมีความจำเป็นจริงๆ และงานแต่งงานครั้งนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเป็นการสะเดาะเคราะห์เพียงเท่านั้น และเพื่อให้ผู้ใหญ่ฝั่งผมสบายใจในเรื่องนี้ ช่อก็รู้นี่ครับว่าคนจีนค่อนข้างจะถือในเรื่องดวงชะตา แต่ผมสัญญานะครับว่าครบกำหนดหนึ่งปี ทุกอย่างมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
นฤบดินทร์พยายามอ้อนวอนแฟนสาว แต่ช่อทิพย์บิดริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีสดนิดๆ มองมาที่ชายหนุ่มอย่างดูแคลน
“มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือคะ ดินทร์กำลังจะแต่งงาน แต่กลับบอกให้ช่อต้องรอเป็นปี โดยไม่มีหลักประกันอะไรได้เลย ช่อไม่ใช่ของตายของดินทร์นะคะ”
“ผมไม่เคยคิดว่าช่อเป็นแบบนั้น ให้ตายเถอะ ช่อช่วยนั่งลงก่อนได้ไหม คนอื่นเขามองมาที่เรากันหมดแล้ว”
นฤบดินทร์ว่าอย่างอ่อนใจ ดวงตาคู่คมกวาดสายตาไปยังบริเวณรอบๆ ไม่เพียงแต่ผู้ที่มารับบริการในร้านจะมองมาที่โต๊ะของพวกเขา แม้แต่พนักงานของร้านเองต่างก็พากันมองมาที่โต๊ะของพวกเขาเช่นกัน
“ไม่ค่ะ ถ้าดินทร์ยืนยันว่าจะแต่งงานเพื่อสะเดาะเคราะห์บ้าบออะไรนั่นจริงๆ แล้วละก็ ช่ออยากให้ดินทร์รับรู้เอาไว้ด้วยว่า วันที่ดินทร์แต่งงานคือวันที่เราเลิกกัน”
“ช่อ!”
นฤบดินทร์ร้องเรียกแฟนสาวอย่างตกใจ ใบหน้าหล่อเหลาเจื่อนลงถนัดตา ก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างเว้าวอน
“ช่อกินอะไรไม่ลงแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
ว่าจบมือบางก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าหนังแบรนด์ดังขึ้นมาถือไว้ ส่งสายตาขุ่นเขียวไปให้นฤบดินทร์อีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าฉับๆ ออกจากร้านไป โดยไม่สนใจคนรักที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตเท่านั้น
นฤบดินทร์รีบควักธนบัตรสีเทาออกมาจากกระเป๋าสตางค์อย่างร้อนรนแล้ววงไว้บนโต๊ะ ก่อนจะรีบสาวเท้าตามช่อทิพย์ไป ชายหนุ่มตามมาถึงลานจอดรถ แต่ยังช้าไปเพราะหญิงสาวก้าวขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว และรถคันดังกล่าวก็กำลังเคลื่อนออกจากลานจอดรถ นฤบดินทร์เปลี่ยนจากการสาวเท้ารัวๆ เป็นวิ่งแทน พร้อมร้องเรียกชื่อของแฟนสาวไปด้วย
“เดี๋ยวก่อนครับช่อ ช่อ!”
นอกจากช่อทิพย์จะไม่ชะลอเครื่องยนต์ เจ้าตัวยังเร่งเครื่องให้เร็วยิ่งขึ้น สุดท้ายนฤบดินทร์จึงทำได้เพียงมองตามหลังรถของแฟนสาวไปจนลับสายตา
“บ้าเอ๊ย!”
ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมขมับ ก่อนจะขยับขึ้นไปเสยผมแรงๆ เพื่อระบายความหงุดหงิด ไอ้ครั้นจะไปยกเลิกงานแต่งงาน ทุกอย่างก็ถูกตระเตรียมเอาไว้หมดแล้ว และถ้าเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าสุขภาพของอาม่ากันทราจะทรุดลง เพราะหลังจากที่เขารับปากว่าจะแต่งงานท่านก็ไม่เคยป่วยอีกเลย ถ้าเกิดเขายกเลิกก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่สามารถเอาเรื่องความเจ็บป่วยของอาม่ากันทรามาเสี่ยงได้เด็ดขาด ลำพังตัวเขาเองบอกตามตรงว่าเรื่องดวงชะตานั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ที่กังวลก็คืออาการของอาม่ากันทราต่างหาก เพราะฉะนั้นเขาจะยอมเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด
ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นเขาไม่ต้องการแต่งงานเลยสักนิด
ตอนนี้เขาคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว งานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอาทิตย์หน้าก็ไม่อาจจะยกเลิกได้ และเขาก็คงไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนรักอย่างช่อทิพย์เอาไว้ได้เช่นกัน ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาว่าหนึ่งปีหลังจากนี้เธอจะรอเขาได้ และเขาเองก็เช่นกัน พอครบกำหนดหนึ่งปี เขาก็จะขอเธอแต่งงงานทันที
“บ้าเอ๊ย! เจ็บใจจริงๆ”
ช่อทิพย์ว่าพลางกระแทกแก้วก้านสั้นที่ก่อนหน้านั้นบรรจุน้ำไวน์สีแดงที่เจ้าตัวกระดกรวดเดียวหมดลงบนเคาน์เตอร์บาร์ภายในคอนโดฯ ส่วนตัวอย่างแรง มือเรียวยังคงกำรอบแก้วเอาไว้แน่น ราวกับกำลังระบายความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นมาระลอกใหญ่
“ใจเย็นน่าทิพย์ คุณยังมีผมอยู่ทั้งคนนี่ครับ”
ร่างสูงที่สวมกอดช่อทิพย์และกระซิบเบาๆ ที่ใบหูของหญิงสาวก็คือกุลิสร์ ช่อทิพย์ละมือจากแก้วไวน์แล้วหันมาหาคนที่สวมกอดตนเอาไว้ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างแนบเข้ากับใบหน้าคมเข้ม ขยับริมฝีปากเบาๆ อย่างยั่วเย้า
“ถ้าอย่างนั้น คุณคงทำให้ฉันหายเครียดได้ใช่ไหมคะ”
ตาสองคู่สบประสานกัน ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า กุลิสร์ก็ฐานะดีไม่ต่างจากนฤบดินทร์เท่าไรนัก และถือว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีอย่างหาตัวจับยาก แต่ความหล่อเหลาของนฤบดินทร์นั้นมีมากกว่า ชายหนุ่มราวกับเทพบุตรลงมาจุติยังโลกมนุษย์ ทำให้ช่อทิพย์เกิดเสียดายในข้อนี้ แต่ก็แค่รู้สึกหัวเสียเพราะสิ่งที่เขาบอกมาเป็นการฉีกหน้าเธอ ซ้ำยังมีหน้ามาบอกให้เธอรอ เธอไม่ใช่ตัวเลือกของใคร ผู้ชายต่างหากที่ต้องเข้ามาให้เธอเลือก และตัวเลือกตรงหน้าเธอในตอนนี้ก็พอจะทดแทนอดีตคนรักของเธอได้
“แน่นอนครับ เรื่องนั้น...ผมช่วยคุณได้”
ว่าจบทั้งคู่ก็แนบริมฝีปากเข้าหากัน แลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกันอย่างร้อนแรง ก่อนกุลิสร์จะตวัดร่างบางขึ้นมาโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขน สาวเท้าฉับๆ ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนที่เปิดประกว้างไว้อยู่ก่อนแล้ว โดยที่ริมฝีปากของทั้งคู่ไม่ละออกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว