“ว่ายังไง เมื่อไหร่ประกันจะมา ฉันรอนานแล้วนะ”
“เอ่อ” ฉันเลิ่กลั่กมองหน้าคู่กรณี ก็ฉันโทรเรียกไปเกือบสิบนาทีแล้ว รออีกหน่อยไม่ได้รึไง ทั้งๆ ที่ตัวเองผิด
“ผมว่าแจ้งความก่อนดีกว่าครับ ให้ตำรวจมาไกล่เกลี่ยช่วย” มือหนาของเดรคยกขึ้นกดโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูของเขายกขึ้นแนบหู
“มึงอย่าแส่ ปล่อยให้ประกันอีนี่มาเคลียร์ก็พอ”
“ไม่ได้หรอกครับ ยังไงก็ต้องแจ้งความให้ตำรวจมาไกล่เกลี่ย”เดรคบอกออกไปเสียงแข็ง จ้องหน้าผู้ชายคนนั้นอย่างเอาเรื่อง
“มึงๆ ระวังตัวไว้” เจ้าของรถกระบะคันนั้นยกประแจขึ้นชี้หน้าของเดรคด้วยท่าทางโกรธขึ้ง แต่เขาไม่แสดงท่าที่ว่ากลัวเลยสักนิด กลับคุยกับตำรวจในสายหน้าตาเฉย
“ครับคุณตำรวจ ขอบคุณครับ” เขาส่งยิ้มหวานมาให้ฉัน ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์ไว้ตามเดิม “ตำรวจกำลังมาครับ”
“ขะ...ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณเขา ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกของตัวเองไว้เพื่อคลายความหนาว
“ผมว่าคุณเข้าไปนั่งรอในรถผมก่อนดีไหม ประกันกับตำรวจมาถึงค่อยออกมา”เดรคพยักพเยิดหน้าไปทางรถคันหรูของเขาที่จอดอยู่ตรงไหล่ทาง ซึ่งฉันได้แต่มองมันกำลังเขาสลับกันอย่างเกรงใจ
“เอ่อ จะดีเหรอคะ เดี๋ยวคู่กรณีเขาไม่พอใจ เข้ามาทุบรถฉันหรือรถคุณจะทำยังไง” ฉันบอกไปอย่างกังวล เมื่อมองไปยังคู่กรณีท่าทางไม่น่าไว้ใจ ซึ่งยืนอยู่ในชายคาของร้านสะดวกซื้อ ใกล้ๆ กับรถของเขาที่จอดเสียหลักอยู่
“ไม่ต้องกลัวครับ อยู่กับผม รับรองผมไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่”เดรคเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น ในแบบที่เขาชอบทำเป็นประจำ ถ้าเป็นสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ฉันคงเคลิ้มไปกับยิ้มนั้นแล้ว
“นาว่า เราไปยืนรออยู่กับคู่กรณีก็ได้ค่ะ เขาจะได้มั่นใจว่าเราจะไม่หนี"ปากเล็กเอ่ยออกไปในขณะที่ยังทอดสายตาจับจ้องไปที่คู่กรณีคนนั้นด้วยท่าทางกังวลใจ
“เอางั้นก็ได้ครับ”
"..."ฉันพยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินนำเดรคไปยังหน้าร้านสะดวกซื้อที่คู่กรณียืนหลบฝนอยู่ โดยที่เขาเองก็รีบวิ่งถือร่มวิ่งตามฉันมาติดๆ
พรืดดดด!!
“เฮ้ย!!”
“กรี๊ดดดด!!” ความโชคร้ายที่เจอมันมักจะมีส่วนเสริมเสมอ เมื่อฉันที่รีบวิ่งจนไม่ทันเห็นเศษขยะตกอยู่บนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ทำให้ลื่นไถลเกือบหัวฟาดพื้น ถ้าไม่ติดว่าเดรคเข้ามารับตัวฉันได้ทัน
มือเล็กกำปกเสื้อของคนตัวโตเอาไว้แน่น หอบหายใจออกมาด้วยความตกใจ ราวกับหัวใจดวงน้อยๆจะหลุดออกมานอกอก
“นารา!!!” แต่ยังไม่ทันจะขอบอกขอบใจเดรค เสียงเข้มปนดุของใครบางคนก็เรียกชื่อฉันจากทางด้านหลังด้วยเสียงอันดัง ฉันค่อยๆดันตัวยืนขึ้นเต็มความสูง โดยที่เดรคช่วยประครองเอาไว้
ดวงตากลมโตปะทะเข้ากับสายตาเหี้ยมโหดของเจ้าของเสียงเข้ม ทำให้ฉันรีบผละออกจากอ้อมแขนของเดรคทันที
“คะ...คุณคาเท”ปากเล็กเอ่ยชื่อผู้มาใหม่ด้วยความหวาดกลัว
พรึบ!
มือหนาดึงฉันออกจากวงแขนของเดรค จนรู้สึกเจ็บหนึบตรงแขนที่คุณคาเทจับมันอยู่ แต่ไม่กล้าทักท้วงได้แต่ยืนนิ่งๆอยู่ข้างเขาอย่างประหม่า
“ไอ้ไทม์ มึงไปเคลียร์”
“ครับนาย” ฉันพึ่งสังเกตว่าเขามาพร้อมกับลูกน้องของเขาอีกสองสามคน ร่มสีดำสนิทถูกกางให้ผู้เป็นนายเพื่อไม่ให้เปียกฝน ส่วนฉันก็ยืนหงออยู่ข้างคุณคาเทโดยที่มีมือของเขาจับไว้ที่แขนเล็ก
ตอนนี้ทั้งประกัน ทั้งตำรวจมาพร้อมกันเลย ให้มันได้อย่างนี้สิ เหมือนหนังไทยเลย นางเอกเกือบแย่แล้วตำรวจค่อยมาถึง
“กลับ!”
“แต่นายังไม่ได้ให้ปากคำกับตำรวจเลยนะคะ” เขาไม่ฟังคำคัดค้านของฉัน แต่ออกแรงดึงแขนฉันออกจากตรงนั้นเลย “อ๊ะ เดี๋ยวค่ะ” ฉันรั้งแขนเอาไว้ ก่อนจะหันไปบอกลาเดรคตามมารยาท
“นาไปก่อนนะคะ ขอบคุณที่ช่วยเหลือค่ะ” ฉันเห็นรอยยิ้มบางๆ ส่งมาจากริมฝีปากหนา เขายกมือขึ้นโบกลายฉันก่อนจะเดินขึ้นรถของตัวเองแล้วขับออกไปช้าๆ
“อยู่กับฉัน ยังแสดงความแรดใส่ผู้ชายอื่นอีกนะ”เสียงเข้มของคุณคาเททำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
“อ๊ะ!! เจ็บนะคะ” แขนเล็กถูกกระชากในเดินตามไปยังรถที่จอดอยู่ไหล่ทางไม่ไกลนัก เขาเหวี่ยงฉันเข้าไปในตัวรถอย่างแรงจนตัวลอยติดกับประตูรถอีกฝั่ง
“ทำไมไม่โทรบอกฉันว่าเกิดอุบัติเหตุ!!”
“มันเกิดขึ้นเร็วมาก นายังไม่ทันคิดค่ะ” ฉันบอกพลางลูบแขนข้างที่ถูกเขากระชากป้อยๆ รอยแดงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
“คราวหน้า อย่าให้ฉันเห็นว่าเธอร่านใส่ผู้ชายคนอื่นอีก ไม่งั้นเจ็บตัวแน่”เขาบอกออกมาลอดไรฟันด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ
“เอ๊ะ คุณ!!”ปากเล็กกำลังจะเอ่ยท้วงติง แต่ต้องเงียบเสียงไปเพราะสายตาแข็งกร้าวถูกส่งมาทางฉันอีกครั้ง ซึ่งได้ก้มหน้าลงนิ่ง เพราะกลัวเขาจะทำอะไรแบบวันนั้นกับฉันอีก
“อย่ามาทำเสียงแบบนี้ใส่ฉัน เธอควรสำเหนียกนะ ว่าไม่ควรมาโต้งแย้งอะไรกับฉันทั้งนั้น”
“ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้าลงหลุบตามองที่พื้นกอดอกตัวเองนิ่งๆ เมื่อเรื่องคลิปและเรื่องประมูลงานของบริษัทคุณพ่อโผล่ขึ้นมาในหัวเตือนสติของฉันว่าให้เชื่อคำพูดร้ายกาจของเขา
พรึ่บ!
“หนาวก็คลุมไว้ซะ เดี๋ยวจะปอดบวมตายซะก่อน” เสื้อสูทตัวหนาของเขาถูกโยนมาคลุมหัวของฉันอย่างแรง
“ตายก็ดีสิ”ฉันพึมพำออกไปเสียงเบา ก่อนจะหยิบเสื้อตัวนั้นออกแล้วส่งมันคืนให้เขา
“ว่าไงนะ”
“เก็บไว้เถอะค่ะ เสื้อราคาแพงของคุณจะเปื้อนซะเปล่าๆ”
“อย่ามาอวดดีกับฉัน” แขนข้างหนึ่งถูกเขากระชากเข้าไปหาตัว กำมันไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บตรงแขนเล็ก
“ปล่อยค่ะ นาเจ็บ” มือเล็กพยายามแกะมือของเขาออกจากแขนที่ถูกกระชาก เขาผละฉันออกก่อนจะหันไปสั่งงานลูกน้องของเขา ที่นั่งอยู่ประจำตำแหน่งคนขับ
“กลับ”
“นายจะกลับบ้านเลยไหมครับ”
“ไปคอนโดยัยนี่”
“ทะ...ทำไมไม่กลับบ้านคุณไปล่ะคะ จะไปคอนโดนาทำไม” ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว เล่นเขาฉันขนลุกวาบกับรอยยิ้มตรงหน้า
“พาเธอไปทบทวนความจำซักหน่อย” ฉันปัดมือหนาของเขาที่ลูบไล้ลงมาตรงต้นขาของฉัน ออกอย่างแรง ใช้มือกระชับเสื้อสูทที่เขาโยนกลับมาให้ไว้แน่น เมื่อเช้าฉันรอดมาได้หวุดหวิดแต่ตอนนี้ฉันจะเอาอะไรมารอด
@ คอนโดนารา
ฉันรีบเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่กลับมาถึงห้องพัก ทางด้านคุณคาเทเขาตามฉันขึ้นมาบนห้อง แต่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการคุยโทรศัพท์อยู่ จนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเขาก็ยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ ฉันเองก็ไม่ได้สนใจเขาซักเท่าไหร่ จึงเลี่ยงเข้าไปข้างในครัวเพื่อทำอะไรกิน
หลังจากสำรวจวัตถุดิบได้สักพัก ฉันก็ได้ข้อสรุปง่ายๆ คือมาม่าหม้อไฟ อากาศเย็นๆ แบบนี้ ถ้าได้ซดอะไรร้อนๆ จะดีมาก ห้องฉันพอจะมีผักเนื้อสัตว์ วัตถุดิบทำกับข้าวติดตู้เย็นอยู่บ้าง ถึงจะไม่ค่อยได้ทำอาหารกินเองแต่ก็ถือว่าเป็นคนนึงที่ทำอาหารเป็น
ฉันลอบมองคุณคาเทจากในห้องครัว เห็นว่าเขาเดินออกไปสูบบุหรี่นอกระเบียง มืออีกข้างยังยกโทรศัพท์แนบหูอยู่อย่างนั้น
“ทำเผื่อเขาจะกินไหมน้า” ฉันพูดกับตัวเสียงเสียงเบา ก่อนจะตัดสินใจทำมาม่าหม้อไฟเผื่อเขาด้วย พอสุกแล้วก็ยกหม้อมาม่าไปวางที่โต๊ะกระจกห้องนั่งเล่น กะว่าจะกินไปดูโทรทัศน์ไปด้วย ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อัปเดทข่าวสารบ้านเมืองเลย