เย็นวันอาทิตย์คือสวรรค์ที่ผมตั้งตารอ นั่นเป็นเพราะตรงกับวันที่เจ้านายไม่ได้ออกไปไหน ส่วนผมกับแก๊งเพื่อนก็มักจะใช้วันนี้เป็นวันหยุดและผ่อนคลายกัน
แต่เนื่องด้วยช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ เริ่มมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในกลุ่มผู้มีอิทธิพล ทำให้ไอ้ไททันและไอ้ซันไม่สามารถออกมากับผมได้ ตอนนี้จึงมีแค่ไอ้เจย์ ที่กำลังลุกเต้นไปกับเสียงเพลงมัน ๆ ในผับ พร้อมกับสาวสวยอีกสองคนที่ประกบข้าง
“กินให้เต็มที่เลยนะเด็ก ๆ วันนี้ไอ้เชนทร์เลี้ยง”
มันพูดพร้อมกับชูแก้วเหล้าขึ้นชนกับเหล่าสาว ๆ ที่มาร่วมแจม
“ไหงเป็นงั้นวะ”
“เอ้า ก็มึงไม่มีภาระ ตายห่าไปเงินก็ไม่ได้ใช้ กูยังต้องส่งให้พ่อให้แม่นะเว้ย ไหนจะน้องสาวกูอีก”
หากโต้แย้งก็ไม่รู้จะหาคำไหนไปเถียง เพราะมันจริงอย่างที่ไอ้เจย์พูด ผมตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก เพราะแม่ของผมทิ้งไปตั้งแต่คลอดผมได้เพียงแค่สี่เดือน ส่วนพ่อของผมก็เสียตั้งแต่ผมอายุได้เพียงแค่ 12 ปี แต่เขาก็จากไปอย่างสมศักดิ์ศรีแล้วแหละ จากไปในฐานะบอดี้การ์ดมือขวาของคุณท่าน เพราะเหตุนี้ คุณท่านเขาถึงได้เอ็นดูและรู้สึกติดค้างบุญคุณกับผมนัก
“พี่ราเชนทร์คะ ยกบ้างสิ เหล้าจืดหมดแล้ว”
สาวสวยที่อยู่ฝั่งขวายกแก้วเหล้าขึ้นให้ผมดื่ม พร้อมกับเกยคางลงหัวไหล่แล้วจ้องมองตาราวกับต้องการสื่อเจตนาบางอย่าง
“ไปเข้าห้องน้ำไหม”
ผมกระซิบถามเสียงหวาน ตอนนี้ก็ดื่มกันมาได้พักใหญ่แล้ว อีกหน่อยก็คงต้องกลับ
“ไปค่ะ”
คนตัวเล็กยิ้มเขิน แล้วลุกขึ้นเดินนำผมไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังผับ ตำแหน่งประจำที่ผมมักจะไปคั่วกับสาว ๆ ไม่ซ้ำหน้า
“เฮ้ย ไปไหนวะ”
“เข้าห้องน้ำ”
ผมหันกลับไปตอบไอ้เจย์ที่หยุดเต้น แล้วหยิบแก้วเหล้ามาเติมน้ำแข็ง
“แหมม เข้าพร้อมกันเลยนะ มีพิรุธนะเนี่ย”
มันเอ่ยแซวอย่างรู้ทัน ผมเองก็ไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อยแล้วเดินตามผู้หญิงตัวเล็กออกไป พอถึงทางเข้าห้องน้ำเธอก็ไม่รีรอ รีบคว้าลำคอผมเข้าห้องก่อนจะเริ่มบดจูบอย่างกระหาย
“เสร็จแล้วไปต่อที่ห้องรินไหมคะ”
“พี่รีบกลับน่ะ”
ผมเพิ่งจะรู้ชื่อของเธอจากประโยคเมื่อกี้ และเพิ่งรู้ว่าเธอชื่อคล้ายกับมิลินมาก แต่จะว่าไป หลังจากที่ได้กันกับมิลินวันนั้น ผมก็ไม่ได้เอากับใครอีกเลย คงเป็นเพราะช่วงนี้มีเรื่องวุ่น ๆ ให้ต้องจัดการตลอดด้วย
“แหมม เสียดายจัง”
เธอทำหน้าเง้างอนพร้อมกับเลื่อนมือลงขยำกำแท่งเอ็นที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นมาพรมจูบและซุกไซ้ตามซอกคอ ไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือเพราะอะไรที่ทำให้ผมหลับตาพริ้มและเริ่มเคลิ้มไปกับสัมผัสที่ได้รับโดยง่าย ทว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ มันดันซ้อนทับเข้ามากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ฮึก มิลิน”
ผมขบฟันกรามแน่น พลางเลื่อนมือลงไปขยำกำเนินอก แต่สัมผัสที่ได้รับ มันกลับไม่ใช่สัมผัสในจินตนาการ
“ราเชนทร์ ช่วยทำให้ฉันหายอยากที ฉันไม่ไหวแล้ว”
เสียงที่แทรกเข้ามาขัดจังหวะทำให้ผมไม่มีสมาธิที่จะจดจ่อกับคนตรงหน้าอีกต่อไป ผมจึงหยุดชะงัก แล้วพยายามที่จะสะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว
เป็นบ้าอะไรไอ้เชนทร์ คิดถึงแต่หน้าเขาอยู่ได้
ผมพยายามลบภาพจำ ก่อนจะกระชับเอวสาวตรงหน้าแน่นแล้วซุกไซ้ไปตามซอกคอขาวเนียน ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเคลิ้มและครางกระเส่าเสียงหวาน แต่มันก็ดันถูกรบกวนด้วยเสียงของมิลินที่แทรกเข้ามาผ่านความคิด จนผมไม่สามารถที่จะทำภารกิจต่อไปได้ จึงต้องผละออกจากรินแล้วลูบหน้าลูบตาอย่างลวก ๆ ไล่ความหงุดหงิด
“พี่ราเชนทร์ เป็นอะไรเหรอคะ”
คนตรงหน้ารีบถามอย่างงุนงง เมื่ออยู่ ๆ ผมก็ผลักเธอออกเสียดื้อ ๆ ทั้งที่เกือบจะเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่แล้ว
“ขอโทษนะ พี่ต้องรีบกลับ”
ผมรู้ตัวว่าไม่สามารถฝืนไปได้มากกว่านี้ จึงรูดซิปกางเกงกลับตามเดิม ทั้งที่แท่งเอ็นยังไม่ทันได้ถูกงัดออกมาใช้งาน รินเองก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ไม่น้อย แต่ผมไม่อยากทำให้เธอรู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ วันนี้ผมคงไม่เ****นจริง ๆ เลยทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ เอาไว้วันหลังค่อยมาแก้มือแล้วกัน
“ปะไอ้เจย์ กลับ”
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วตรงไปหยิบแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวหมด ท่ามกลางสายตามึนงงของทุกคน
“กลับไวจังวะ”
“ไอ้ไททันบอกว่าอย่ากลับเกินห้าทุ่ม”
ผมแก้ตัวไปแบบนั้น เพราะที่จริงแค่ไม่มีอารมณ์สนุกสนานแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสิ่งที่ผมตั้งตารอมาทั้งอาทิตย์ถึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อไปได้
“น้อง ๆ ดื่มต่อกันได้เลยนะ พี่เคลียร์บิลให้แล้ว”
ผมหันไปบอกสาว ๆ ที่เข้ามาร่วมสนุก ก่อนจะเดินออกไปจากผับโดยมีไอ้เจย์ที่รีบวิ่งตามออกมาอย่างงง ๆ
“ทำไมต้องให้รีบกลับวะ กำลังสนุกเลย”
ไอ้เจย์บ่นอุบในตอนที่วิ่งตามมาถึงรถและเอี้ยวตัวไปดึงเข็มขัดนิรภัยออกมาคาด
“เอาน่า ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ”
ผมพูดตัดบท ก่อนจะรีบเหยียบคันเร่งมาที่บ้าน จากนั้นก็ขึ้นไปที่ห้องของมิลิน เพื่อตรวจเช็กว่าเธอยังอยู่ในห้องและปลอดภัยดี แต่ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปกลับพบว่าภายในห้องไม่มีใครอยู่ หายไปไหนของเขานะ
ผมช่างใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะวอร์หาไอ้ไททันแล้วถามมันว่าคุณหนูอยู่ที่ไหน แล้วก็ได้คำตอบว่าเธอขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าตั้งแต่สี่ทุ่ม ตอนนี้น่าจะยังไม่ลงมา คุณหนูบอกว่าอยากอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มันนานมากแล้ว ไอ้ไททันเลยบอกให้ผมขึ้นไปดูคุณหนูหน่อย เผื่อเธอจมน้ำหรือเป็นอะไรไป
พอผมขึ้นลิฟต์ขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุด ก็ไม่พบว่ามีบอดี้การ์ดคนไหนยืนเฝ้าอยู่เลย น่าจะเพราะคำสั่งของมิลิน พอเดินเข้ามาที่สระน้ำด้านใน ก็ปรากฏร่างเล็กที่ชุ่มน้ำกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง
เพิ่งจะหายป่วยไปหยก ๆ นี่มานอนแช่น้ำอีกแล้วเหรอ อยากไข้กลับหรือยังไง
ตุบ!
เสื้อแขนยาวถูกโยนลงไปคลุมบนตัวทำเอามิลินสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นว่าเป็นผมเธอก็รีบลุกพรวดขึ้นทันที
“ฉันสั่งว่าห้ามใครขึ้นมารบกวน ไม่มีใครบอกนายหรือไงฮะ”
“แล้วไม่มีใครบอกคุณหนูเหรอครับ ว่าทำแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ไข้ขึ้นอีก”
ผมสวนกลับทันที พร้อมกับจ้องสำรวจตามเรือนร่างที่ชุ่มน้ำ เสื้อสีขาวผืนบางที่แนบไปกับเนื้อ เผยให้เห็นสัดส่วนของเธอเป็นอย่างดี
“เรื่องของฉัน นายไม่ต้องยุ่ง”
ตุบ!
เสื้อแขนยาวถูกขว้างเข้าใส่หน้าผมเต็มแรง จนผมต้องขบฟันแน่นพลางหลับตาพริ้มเพื่อระงับความโกรธ จะมีครั้งไหนไหม ที่เราทั้งคู่จะคุยกันดี ๆ
“ไม่ต้องแสร้งทำเป็นห่วงใยหรอก ห่วงแค่ผู้หญิงของนายก็พอ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของนาย แล้วจะไม่มีวันเป็นด้วย คนมักมาก!”
มิลินฉุนเฉียวอย่างไร้เหตุผล ก่อนจะเดินผ่านหน้าผมออกไป แต่มีหรือที่ผมจะปล่อยให้เธอเดินออกไปง่าย ๆ
“เดี๋ยว จู่ ๆ มากล่าวหาว่าผมมักมาก เป็นอะไร”
ผมคว้าแขนมิลินไว้แล้วเอ่ยถามเสียงขุ่น
“แล้วรอยลิปสติกบนคอเสื้อนายเนี่ย! มันไม่มักมากตรงไหน”
“...”
รอยลิปสติกเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน