“ไอ้เชนทร์ คุณท่านเรียกพบ”
เสียงวอร์ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังถือจานเดินไปเลือกอาหาร ผมจึงต้องรีบวางมันกลับเข้าที่เดิม ก่อนจะตรงขึ้นไปยังห้องของคุณท่านที่ตอนนี้มีไอ้ไททันยืนรออยู่ที่หน้าห้อง
“มีอะไรวะ”
ผมยังไม่เดินเข้าไปด้านในในทันที แต่หยุดถามไอ้ไททันก่อน
“ไม่รู้ว่ะ แต่หน้าเครียดเลย คงสำคัญ”
“เครียดเลยเหรอ?”
ผมหน้าเจื่อนตามประสาคนมีความผิด แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ทั้งดาดฟ้าก็ไม่มีกล้องวงจรปิด คุณท่านไม่น่าจะเห็นว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“เข้าไปสิ”
ผมใช้เวลายืนทำใจอยู่สักพักก็ถูกไอ้ไททันไล่ให้เข้าไปในห้อง เลยต้องตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปด้วยความประหม่า ภายในห้องสีขาวตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรูสีน้ำตาล มีผู้ชายวัยกลางคนในชุดสุภาพกำลังนั่งไขว้ห้างจิบกาแฟอยู่
ชายรูปร่างสูงโปร่ง อายุปาเข้าเลขหกปลาย ๆ แต่สุขภาพร่างกายและหน้าตายังเดินช้ากว่าอายุอยู่มาก ถ้าพ่อของผมยังอยู่ ก็คงจะอายุไล่เลี่ยกับคุณท่านนี่แหละ
“คุณท่านเรียกผมมา มีอะไรให้รับใช้เหรอครับ”
คนด้านหน้าเปรยตาขึ้นมามอง ก่อนจะวางแก้วกาแฟลงอย่างแผ่วเบา
“มีอะไรอยากจะบอกฉันไหม”
“...”
ประโยคคำถามที่ราบเรียบ แต่ทรงพลังทำให้ผมหวั่นใจ ถ้าเขาถามแบบนี้ เขาต้องไปรู้อะไรมาแน่
“เกี่ยวกับเรื่องอะไรเหรอครับ”
ผมก้มหน้าถามเสียงแผ่ว พลางกุมมือตัวเองเอาไว้แน่นด้วยความอึดอัด
“มิลิน”
คำตอบสั้น ๆ ของอีกฝ่าย ส่งผลให้ผมนิ่งงันไปด้วยใจที่เต้นระรัว ถ้าเกริ่นมาขนาดนี้ แปลว่าเขาก็คงจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วละ
“ขอโทษครับ”
ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งสิ้น รีบโค้งหัวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง ถ้าวันนั้นผมมีสติและยั้งคิดมากกว่านี้ เรื่องมันก็คงไม่ออกมาแบบนี้แน่
“ขอโทษทำไม ฉันไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดของนายเลยสักนิด”
ผมเงยหน้าขึ้นมองที่คนตรงหน้าด้วยแววตาสงสัย นี่เขากำลังหมายถึงเหตุการณ์เดียวกันกับผมหรือเปล่า
“มิลินมาขอให้นายกลับมาเป็นบอดี้การ์ดฉันตามเดิม แล้วขอให้ซันขึ้นไปเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวแทน”
เรื่องนี้ผมก็พอจะรู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะมิลินเคยบอกกับผมเมื่อไม่กี่วันก่อน
“นายคิดว่ายังไง”
“แล้วแต่คุณท่านครับ”
ผมตอบกลับอย่างนอบน้อม แม้ในใจจะรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยที่มิลินต้องการผลักไสไล่ส่ง
“ถ้าแล้วแต่ฉัน นายก็อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะไม่มีใครกล้าออกคำสั่งกับมิลินเลย นอกจากนาย”
คนร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนจะตรงไปที่กระถางต้นไม้เล็ก ๆ แล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาฉีดรดน้ำให้เบา ๆ ปากก็เอ่ยพูดกับผมด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ฉันไม่รู้ว่าพลาดตรงไหน ฉันแค่อยากตามใจ ไม่อยากให้มิลินรู้สึกว่าตัวเองขาดแม่ แต่กลับกลายเป็นฉันเอง ที่ทำให้เด็กน่ารักน่าชังคนนั้นกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ”
ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย เผยความทุกข์ระทมใจออกมาอย่างไม่ปิดซ่อน ผมรับรู้ถึงเรื่องราวครอบครัวนี้มาตลอด ถึงได้เข้าใจคุณท่านเป็นที่สุด เขาทำหน้าที่พ่ออย่างเต็มที่แล้วจริง ๆ แต่ก็อย่างว่า... ขึ้นชื่อว่าชีวิต มันไม่มีสูตรสำเร็จแบบตายตัวหรอก
“ช่วงนี้ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ พวกไอ้ชนัยมันเริ่มจับตาดูเราอยู่ ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้มิลินแอบหนีเที่ยวอีก เพราะจุดอ่อนของฉัน คือมิลินคนเดียว”
“ครับคุณท่าน”
ผมรับคำอย่างหนักแน่น แอบแปลกใจว่าคุณท่านรู้ได้ยังไงเรื่องที่มิลินหนีเที่ยว หรือไอ้ไททันจะเป็นคนบอก? ก็อาจจะเป็นไปได้
พอออกมาจากห้องคุณท่านแล้ว ผมก็ตรงไปที่โรงจอดรถ เพราะต้องไปส่งมิลินที่มหาวิทยาลัย แต่พอเดินลงมาแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่ามิลินกำลังยืนคุยอยู่กับผู้ชายร่างสูงที่คุ้นตา คุณฟีนิกซ์ ลูกชายของนายหัวพล
เขามาที่นี่ทำไมกันนะ?
“ไปกันเลยไหม เดี๋ยวสาย”
ผู้ชายร่างกำยำหน้าตาหล่อคมตามฉบับหนุ่มใต้เอ่ยถามมิลิน อีกฝ่ายก็รีบพยักหน้าแล้วเดินตามทันที
“ไปไหนเหรอครับ?”
ผมรีบถามแทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาท เพราะตอนนี้มิลินอยู่ในการดูแลของผม ผมก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเธอจะไปที่ไหน และไปกับใคร
“พี่ฟีนิกซ์จะไปส่งฉันที่มหาลัย วันนี้นายไม่ต้องไปส่งฉันแล้ว”
มิลินหันมาบอกอย่างเริงร่า ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งเห็นท่าทางดี๊ด๊าของเธอ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจอย่างอธิบายไม่ถูก
“แต่คุณท่านกำชับให้ผมติดตามคุณหนูทุกฝีก้าวครับ”
ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก คุณอาบอกให้ฉันไปส่งมิลินเองแหละ”
อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ พร้อมกับเปิดประตูรถให้มิลินได้ขึ้นไป
“เข้าใจแล้วใช่ไหมจ๊ะราเชนทร์”
คนตัวเล็กยกยิ้มอย่างเยาะเย้ย ก่อนจะทิ้งตัวเข้าไปในรถ ท่าทางของเธอเหมือนกำลังประชดผมยังไงอย่างงั้น หรือเป็นผมกันนะ ที่หมั่นไส้ไปเอง
ถึงแม้จะรู้ว่าคุณฟีนิกซ์ได้รับความไว้ใจจากคุณท่านมากแค่ไหน เพราะเขาเป็นลูกชายของเพื่อนสนิท แถมคุณฟีนิกซ์ ยังเป็นเพื่อนคุณไทเกอร์อีกด้วย แต่ผมก็ยังอดห่วงไม่ได้ เลยต้องแอบขับรถตามไปอย่างเงียบ ๆ
ใช้เวลาเพียงไม่นาน ผมก็ขับตามมิลินมาถึงมหาวิทยาลัย แต่พอรถของคุณฟีนิกซ์บึ่งออกไป มิลินก็เดินมาที่รถของผมที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ ราวกับรู้ว่าผมขับตามมา
ก๊อก ๆ
กำปั้นเล็กๆ เคาะเข้าที่กระจกข้าง ผมจึงรีบเลื่อนกระจกรถลงแล้วเงยหน้าขึ้นเผชิญกับอีกฝ่าย
“ขับตามมาทำไมไม่ทราบ”
คนตัวเล็กกอดอกแล้วถามเสียงเรียบ
“ก็ตามมาดูให้แน่ใจ ว่าเขามาส่งถึงมหาลัย... ไม่ได้เลี้ยวเข้าโรงแรม”
“เชนทร์! ดูถูกกันเกินไปแล้วนะ”
ใบหน้าที่เรียบเฉยแปลเปลี่ยนเป็นกริ้วโกรธอย่างกะทันหัน ซึ่งผมก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นแหละ
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายนะบอกไว้ก่อน”
“ไม่ง่าย? แต่ผมก็ได้ไม่ยากนี่”
ผมกระตุกยิ้มยั่วโมโห นั่นยิ่งทำให้เธอปรี๊ดแตก แต่ก็ทำอะไรผมไม่ได้อยู่ดี
“ฉันจะให้พ่อไล่นายออก!”
“เชิญครับ ฟ้องได้ตามสบาย แต่คุณท่านจะไล่ออกไหม ผมก็ไม่รู้นะ เพราะเมื่อเช้าเขายังกำชับอยู่เลย ว่าถ้าไม่ใช่ผม เขาก็ไม่ไว้ใจให้ใครมาเป็นบอดี้การ์ดให้คุณหนูแล้ว”
“นายไปเป่าหูอะไรพ่อฉันอีกฮะ!”
ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเธอถึงคิดว่าคนอย่างผมจะเป่าหูคุณท่านได้ แต่เอาเถอะ พูดให้คอแตกยังไง ผมก็เป็นแค่ตัวร้ายในสายตาเธออยู่ดีนั่นแหละ
“รีบไปเรียนเถอะครับ เดี๋ยวสาย ไว้บ่ายสองผมจะมารับที่เดิม อ้อ! แล้วอย่าเพิ่งให้ผู้ชายคนไหนมารับล่ะ”
พูดจบผมก็ปิดกระจกรถใส่ทันที ไม่เปิดจังหวะให้เธอได้อ้าปากด่าตบท้าย จากนั้นก็บึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งที่ขับรถออกมาแล้ว ในหัวผมก็ยังเอาแต่นึกถึงท่าทางดี๊ด๊าตอนที่มิลินอยู่ใกล้กับผู้ชายคนอื่นอยู่เลย หงุดหงิดชะมัด โกรธทั้งที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังโกรธเรื่องอะไร