ลืมก็ลืม ไม่ได้อยากจำเหมือนกัน

1812 คำ
เข็มสั้นของนาฬิกาปัดเข้าเลขสอง บ่งบอกว่าเวลานี้คือบ่ายสองโมงตรง ผมก้มลงดูนาฬิกาข้อมืออีกรอบก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ในขณะที่กำลังนั่งรอมิลินอยู่ที่หน้าตึกเรียน “ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่ออกมาอีก” ทั้งที่ผมออกมารอก่อนเวลาถึงยี่สิบนาที ทำไมถึงไม่มีวี่แววว่าเธอจะลงมาจากตึกเรียนเลย หรือว่า... ผมรีบหยิบเครื่องตรวจจับสัญญาณจีพีเอสของคุณหนูขึ้นมาดูตำแหน่ง แล้วก็ต้องขมวดเรียวคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าตำแหน่งล่าสุดอยู่ที่ห้างแห่งหนึ่ง ห่างจากมหาวิทยาลัยออกไป 10 กิโลเมตร “โดดเรียนเหรอยัยเด็กแสบ?” ทันทีที่รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็ไม่รีรอ รีบบึ่งรถตรงไปที่พิกัดในจีพีเอสอย่างรวดเร็ว และเมื่อมาถึงก็ตรงไปยังชั้นบนสุดของห้าง ผมกวาดสายตามองแค่รอบเดียว ก็ไปเตะตาเข้ากับสาวสวยผมตรงสีทองสว่าง ท่าทางเย่อหยิ่ง กำลังยืนอยู่ทางเข้าโรงหนังกับเพื่อนของเธออีกสามคน “อ้าว นั่นบอดี้การ์ดสุดหล่อของแกนี่” เพื่อนที่ชื่อจินนี่หันมาเห็นผมก่อนใครเพื่อน ทุกคนในกลุ่มจึงหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว แต่คนที่ตกใจที่สุด คงจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กผมสั้นที่ชื่อเกล ที่เพียงแค่เห็นหน้าผม เธอก็แทบจะลมจับทันที กลัวอะไรขนาดนั้น “ตามมาทำไม” มิลินที่อยู่ในชุดนักศึกษากระโปรงสั้นทำหน้ายุ่ง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจนัก “แล้วคุณหนูล่ะครับ โดดเรียนทำไม” ผมไม่ตอบ ซ้ำยังถามกลับด้วยน้ำเสียงในระดับเดียวกัน “พะ พวกเราไม่ได้โดดเรียนนะพี่ พอดีว่าอาจารย์ปล่อยก่อนเวลา พวกเราเลยมาหาอะไรกิน เห็นว่ามีหนังเข้าใหม่เลยเข้ามาดู” คนชื่อเกลรีบตอบกลับเร็วรัว สีหน้าที่จริงจังบ่งบอกว่าเธอไม่ได้โกหก “แต่คุณหนูก็ควรโทรบอกผมก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ผมนั่งรอตั้งนาน” “แล้วฉันสั่งให้นายรอหรือไง?” เธอถามกลับอย่างไม่ไว้หน้า ทำเอาเพื่อนของเธอก็เริ่มอึดอัดกับสถานการณ์นี้ “แหมม ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไปนั่งดูหนังด้วยกันเลยสิ ดูหนังผีกันเยอะ ๆ สนุกดีออก” ผู้หญิงอีกคนเอ่ยแทรกขึ้น พร้อมกับยิ้มสดใสให้ผมอย่างเป็นมิตร “ไม่ต้อง! ราเชนทร์เขาไม่ชอบดูหนังน่ะ ชอบมานั่งเฝ้ามากกว่า งานถนัดเขาเลย” “แต่หนังสามชั่วโมงเลยนะ” จินนี่ออกความเห็น แต่ก็ถูกมิลินปัดตกออกไปอีกรอบ “จะเป็นไรไป ฉันไม่ได้เอาโซ่มาล่ามคอเขาผูกไว้กับขาเก้าอี้นี่ ถ้าจะโง่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ตามสบาย” เห็นได้ชัดว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดรุนแรงของมิลินเลยสักคน แต่ใครจะไปห้ามเธอได้ล่ะครับ รายนี้เขาเป็นศูนย์รวมของโลกอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่อยากกำราบเขาต่อหน้าเพื่อนนัก พยายามให้เกียรติเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ปะ หนังจะเริ่มแล้ว” มิลินไม่แม้แต่จะหันมามองที่ผม เธอรีบเดินนำเพื่อนเข้าไปด้านในโรงหนัง ปล่อยให้ผมยืนเอือมระอาอยู่กับที่ แล้วผมควรทำยังไงต่อ? ถ้ากลับไปตอนนี้ก็รู้สึกไม่ดีที่ปล่อยให้มิลินอยู่ตามลำพัง ช่วงนี้ยิ่งสถานการณ์ไม่ปกติด้วย พูดถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ผมก็หันหน้าไปปะทะกับกลุ่มคนชุดดำราว 2-3 คนที่ยืนวนเวียนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโรงหนัง พอพวกมันเห็นว่าผมหันมามอง ก็ต่างเบนหน้าหลบแล้วแสร้งเดินออกไปคนละทิศละทาง “คิดไปเองไหมวะ?” หรือช่วงนี้ผมจะระแวงมากไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรที่จะห่างจากตัวมิลิน คิดได้แบบนี้ผมก็ตรงไปซื้อตั๋วหนัง เลือกที่นั่งที่อยู่ติดกับมิลิน และที่ผมรู้ว่าเธอนั่งตรงไหน ก็เพราะก่อนหน้านี้แอบสังเกตบัตรที่เธอถืออยู่ในมือ เมื่อได้ตั๋วหนังแล้วผมก็ตรงเข้ามาในโรงหนังที่ทั้งมืดและเงียบ ซึ่งในตอนนี้กำลังฉายตัวอย่างหนังอื่น ๆ ที่กำลังจะเข้าโรงในอีกไม่ช้านี้ พอเดินไปนั่งที่ของตัวเอง ก็เป็นจังหวะที่มิลินหันมามองพอดี “มาทำไม” เธอกระซิบถามเสียงเบา เพราะกลัวจะรบกวนคนอื่น “มาโรงหนัง ผมคงไม่มานั่งชักว่าวหรอก” “...” คนตัวเล็กชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันกลับไปมองว่าเกลที่นั่งอยู่ข้างกันอีกฝั่งได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า แต่เป็นเพราะเสียงตัวอย่างหนังที่ดังคับโรง ทำให้อีกฝ่ายไม่ได้ให้ความสนใจกับเราทั้งสองคน เผลอ ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นผมที่เดินตามเข้ามา “ทะลึ่ง!” เธอฟึดฟัดใส่ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดอกทำหน้าบึ้งตึง แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้มองว่าท่าทางเอาแต่ใจของเธอมันน่ามันเขี้ยวนัก อยากจะจับกดลงแล้วกระแทกสั่งสอนให้หนัก! บรรยากาศภายในโรงหนังเต็มไปด้วยความอึมครึมตามฉบับหนังผี ผู้คนต่างปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา มีแค่เพียงเสียงกรีดร้องเป็นพัก ๆ ผมเองก็เพิ่งรู้วันนี้ว่ามิลินเธอกลัวผีค่อนข้างมาก ตั้งแต่ที่ผีโผล่ออกมาฉากแรก เธอก็เอาแต่ยกมือขึ้นปิดตาแล้วไม่ชักมือลงอีกเลย กลัวผี แล้วจะมาดูหนังผีทำไมเนี่ย เด็กโง่เอ๊ย ปัง!! “กรี๊ดดด!” ฉากระทึกขวัญตรงหน้ากระชากวิญญาณคนดูแถวหน้าจอไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะมิลินที่รีบคว้าต้นแขนผมเข้าไปกอดแน่น รอจนสติเริ่มกลับมาเธอถึงได้ค่อย ๆ ไล่สายตาขึ้นมามองแล้วผละตัวออกอย่างรวดเร็ว “ฉวยโอกาส!” “หึ เป็นคนเข้ามากอดเราเองแท้ ๆ” ผมพูดเปรย ๆ โดยไม่ได้เจาะจง ทำเอามิลินถึงกับอึกอักไปไม่เป็น แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อกลบเกลื่อน จนกระทั่ง... ถึงฉากที่ผมไม่คิดว่าจะมีในหนังผี “อ๊ะ อะ อื้อออ” บทเลิฟซีนที่โจ่งแจ้งถูกฉายออกมาโดยที่ผมไม่ทันได้เตรียมใจ สองเรือนร่างกำลังบดขยี้กันบนเตียงนอนก่อนจะเริ่มเปล่งเสียงครางดังคับโรงหนัง ผมก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมต้องหันไปมองที่มิลินโดยอัตโนมัติ เป็นจังหวะที่อีกฝ่ายก็หันมามองที่ผมเช่นกัน เมื่อเราเผลอสบตากันอย่างไม่ทันตั้งใจเธอก็รีบเบนหน้าหลบอย่างรวดเร็ว มือเล็กที่กระชับสายกระเป๋าแน่นบ่งบอกว่าเธอกำลังรู้สึกประหม่า เธอจะยังคิดถึงเรื่องคืนนั้นบ้างไหมนะ ตอนเห็นหน้าผม... เธอจะรู้สึกอยากกลับไปรื้อฟื้นความหลังแบบที่ผมแอบคิดอยู่บ่อย ๆ หรือเปล่า? เวลาสามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดหนังก็จบลง ผู้คนก็ต่างเรียงแถวกันเดินออกมาจากโรงหนังอย่างเอื่อยเฉื่อย “โคตรสนุกเลยเนอะ แต่จบแบบนี้มีภาคสองแหง ๆ” จินนี่เอ่ยพลางยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ “ไม่เห็นสนุกเลย ภาคต่อไปพวกแกไม่ต้องรบเร้าให้ฉันมาแล้วนะ” “จะสนุกได้ไง เห็นปิดตาตลอด” ผมพูดลอย ๆ แต่ก็ทำให้มิลินฉุนเฉียวได้ “นี่! ทำไมชอบพูดขัด” “แล้วทำไมถึงชอบขัดคนอื่น” ผมเถียงกลับคืนไปบ้าง เป็นจังหวะที่เกลรีบแทรกขึ้นเพราะกลัวว่าเราทั้งคู่จะทะเลาะกันใหญ่โต “ฉันว่าเราแยกย้ายกันเถอะ เดี๋ยวสามทุ่มก็ได้เจอกันอีก” “ไปไหนกันครับ” ผมถามคนชื่อเกลที่ยืนอยู่ต่อหน้า อีกฝ่ายก็เริ่มประหม่าแล้วตอบด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก “เอ่อ... ตะ ตอนเย็นเรามีฉลองกันนิดหน่อยค่ะ” “ที่ไหน?” คราวนี้ผมหันมาถามมิลินที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ แต่นอกจากเธอจะไม่ตอบแล้ว ยังเมินคำถามของผมอีกด้วย “เจอกันนะพวกแก ขับรถดี ๆ” พูดจบมิลินก็เดินแยกออกมา โดยมีผมที่เดินตามไปติด ๆ “สรุปตอนเย็นจะไปไหน” “ไปผับ” ฮะ! ผับอีกแล้วเหรอ? “ยังไม่เข็ดใช่ไหม?” ปึก! ผมชนเข้ากับแผ่นหลังของมิลินจนเธอตัวเซ เพราะอยู่ ๆ เธอก็หยุดเดินไปเสียดื้อ ๆ “เดินระวังหน่อยสิ” เธอหันกลับมาวีนพร้อมทั้งทำหน้าเหวี่ยง “ก็เห็นว่าไปแล้วมันอันตรายแค่ไหน ยังอยากจะไปอีก” “เรื่องของฉัน นายไม่ต้องยุ่ง! แล้วนายก็ไม่ต้องตามไปด้วย” มิลินเชิดหน้าบอก แววตาเต็มไปด้วยความจริงจัง “เรื่องของคุณหนู ก็เหมือนเรื่องของผม และถ้าจะห้ามไม่ให้ผมตามไป ผมคงทำไม่ได้หรอก” “นายเลิกทำตัวติดฉันเป็นปลิงได้ไหม ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย” เธอพูดอย่างฉุนเฉียวก่อนจะสะบัดหน้าเตรียมจะเดินหนี แต่กลับถูกผมคว้าแขนเอาไว้ก่อน “จะหนีหน้าผมทำไม” “ฉันไม่ได้หนี” เธอรีบปฏิเสธออกมาตามความเคยชิน “แบบนี้แหละเขาเรียกว่าหนี รู้ตัวบ้างไหมว่าตั้งแต่คืนนั้นคุณหนูก็ทำตัวแปลก ๆ” “...” ทุกครั้งที่ผมเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอก็มักจะมีแววตาวูบไหวทุกครั้ง ไม่รู้เพราะเธอเกลียดที่ได้ฟัง หรือเพราะยังติดตรึงอยู่กับคืนนั้นกันแน่ “หลงตัวเอง ฉันไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเรื่องนั้นเลยสักนิด” “ถ้าไม่ซีเรียสก็กลับมาเป็นแบบเดิมสิ กลับมาเป็นปกติ ที่ไม่หนีหน้า ส่วนผม... ก็จะทำหน้าที่ของตัวเองแบบปกติเหมือนกัน” เธอนิ่งไปพักหนึ่งทั้งที่ยังไม่หลบสายตา ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ “ได้ งั้นนายก็ลืมเรื่องคืนนั้นซะ ฉันคือเจ้านาย ส่วนนายมันก็เป็นแค่ลูกน้อง แล้วเรื่องคืนนั้นก็อย่าได้หลุดพูดมันออกมาอีก เพราะฉันเองก็ไม่ได้จำ” ประโยคที่เธอพูดมันไม่มีคำไหนรุนแรงเลยสักนิด แต่ทำไมกันนะ ผมถึงรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ อย่างบอกไม่ถูก อยากให้ลืมเหรอ? ได้... ลืมก็ลืม ไม่ได้อยากจำเหมือนกันนั่นแหละ!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม