ในห้องพักผู้ป่วยธิญาดาค่อยๆ ลืมตาฟื้นขึ้น ภาพแรกที่เธอเห็นคือเพดานสีขาวสะอาดตาและกลิ่นที่ทำให้รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เธออยู่ในโรงพยาบาล
“พี่ปั้น” คนแรกที่เธอเห็นคือปริญญา และเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องก็พบกับคุณลุงคุณป้าที่นอนหลับอยู่บนโซฟาสำหรับญาติคนไข้
“เกรซ เป็นยังไงบ้างน้องน้อยของพี่”
“เกรซ ฟื้นแล้วเหรอลูก” เสียงคุณลุงคุณป้าเรียกแล้วรีบลุกจากโซฟามาแทบจะทันที และเพียงแค่ได้เห็นบุคคลทั้งสามธิญาดาก็น้ำตาแตก เพราะคิดวาชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้พบหน้าพวกเขาอีกแล้ว
“ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะลูก”
“คุณป้าขา คุณลุง พี่ปั้น”
“พวกเราอยู่นี่แล้ว เกรซปลอดภัยแล้วนะลูก ไม่ต้องร้องนะ” กรองทองกอดปลอบหลานสาวที่กำลังอยู่ในอาการขวัญเสีย
“เกรซคิดว่าเกรซจะไม่รอดแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก แล้วยุกับนาล่ะคะ ยุกับนาปลอดภัยใช่ไหมคะคุณป้า” เมื่อนึกถึงเพื่อนขึ้นมาได้ ธิญาดาก็ระล่ำระลักถามด้วยความเป็นห่วง
“ปลอดภัยจ้ะลูก ยุกับนาปลอดภัยดีและอยู่เฝ้าหนูตลอด ป้าเพิ่งให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะทั้งสองคนก็อิดโรยพอดู ทำท่าจะไม่ยอมกลับ จนป้าต้องบังคับแล้วบอกให้มาเยี่ยมใหม่พรุ่งนี้” ธิญาดาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เพื่อนรักทั้งสองไม่ได้รับอันตราย
“ต้องขอบคุณพ่อหนุ่มคนนั้นเขานะลูก เขาใจเด็ดมากที่บุกเข้าไปช่วยหนูกลางกองเพลิงแบบนั้น ถ้าไม่ได้เขาหนูต้องแย่แน่ๆ” ธิญาดามองลุงเขยอย่างงุนงง
“ใครเหรอคะ”
“ก็คนที่ช่วยหนูออกมาจากผับไงลูก”
“ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเหรอคะ ที่ช่วยเกรซออกมา”
“เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกับกู้ภัยก็ด้วย แต่คนที่เจอหนูคนแรกและเอาตัวบังเศษเหล็ก จนกระดูกแขนร้าวคือพ่อหนุ่มที่ชื่อดล หนูรู้จักเขามานานแล้วเหรอ ทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงชีวิตขนาดนั้นเพื่อช่วยหนู”
“ดลไหนคะ”
“อ้าว เขาไม่ใช่เพื่อนเกรซหรอกเหรอ” ปริญญาถามน้องสาวอย่างงงๆ เพราะตอนที่เขาและครอบครัวเข้าไปขอบคุณ อีกฝ่ายตอบว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นเพื่อนกับธิญาดา เมื่อเห็นเพื่อนอยู่ในอันตรายก็ต้องช่วย แต่เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของน้องสาว ปริญญาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอินสตาแกรมของพีรดนย์ที่เขาติดตามอยู่ให้ดู
“คุณพีรดนย์คนนี้ไง นี่ต้องให้คุณหมอเช็กความจำด้วยซะแล้วมั้ง ทำไมจำเพื่อนตัวเองไม่ได้แบบนี้ล่ะ เขาอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเรานะ ว่าแต่เราไปรู้จักคนระดับนี้ได้ยังไง นั่นน่ะลูกชายคนเล็กของตระกูลชิษณุเวทย์เลยนะ” ธิญาดาอึ้งเมื่อได้รู้ว่าผู้ชายที่เธอพยายามปฏิเสธไมตรีกับเขา คือคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้จากกองเพลิง
“เมื่อกี้คุณลุงว่าไงนะคะ เขาบาดเจ็บด้วยเหรอคะ”
“ใช่ เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เข้าไปพร้อมเขาบอกว่า ตอนที่เขาไปเจอหนูหมดสติอยู่บนพื้น เขารีบเข้าไปอุ้มเป็นจังหวะเดียวกับที่เศษเหล็กหล่นลงมา เขาเอาตัวบังหนูไว้ ทำให้เศษเหล็กนั่นโดนแขนของเขาเต็มๆ จนกระดูกแขนร้าว ตอนที่พวกเราไปขอบคุณเมื่อกี้ เขาต้องใส่เฝือกที่แขนเอาไว้ด้วย เขามีน้ำใจและกล้าหาญมากเลยนะ เพื่อนแบบนี้รักษาเอาไว้นะลูก มีไม่กี่คนในโลกนี้หรอกนะ ที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเราได้ขนาดนี้” วิกรมบอกและลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ถ้าไม่บอก ป้าคงคิดว่าเป็นแฟนหนูแล้วนะ เสียดายที่เขาบอกว่าเป็นเพื่อน แต่หน้าตาดีมากเลยนะ ตอนแรกที่เห็นป้ายังคิดว่าเป็นดาราซะอีก จนกระทั่งพี่ปั้นเขาบอกว่าไม่ใช่ดารา แต่เป็นลูกชายของตระกูลดังที่ร่ำรวยเป็นพันๆ ล้าน ป้าก็สงสัยเหมือนพี่ปั้นเขานะว่าหนูไปรู้จักกับคนระดับนี้ได้ยังไงกันน่ะลูก”
“ไฮโซเหรอคะ”
“ใช่ นี่เราไม่รู้เลยเหรอว่าเพื่อนตัวเองเป็นลูกเต้าเหล่าใคร” ปริญญาถามน้องสาวอย่างงุนงง
“เขาไม่ใช่เพื่อนเกรซนะคะ”
“อ้าว” ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกันอย่างแปลกใจ
“มันยังไงกันล่ะลูก” วิกรมถามหลานสาวอย่างแปลกใจ เพราะเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เกรซเคยเจอเขาจริงค่ะ แต่เจอเพราะเขาเป็นนักร้องอยู่ที่ผับที่เกรซไปเที่ยวกับยุและนา หลังจากนั้นเขาเคยมาทานข้าวที่ร้านเราสองครั้ง ครั้งแรกเกรซออกไปต้อนรับ แต่ครั้งสุดท้ายที่เขามาเกรซไม่ได้ไปค่ะ หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยได้เจอหรือติดต่อกันเลย”
“อ้าว” คราวนี้ปริญญาเป็นฝ่ายอุทานด้วยความงงบ้าง
“แม่ว่าเขาคงขี้เกียจอธิบายให้มันยืดยาว ก็เลยบอกว่าเป็นเพื่อนน้องเลยจบๆ ไปน่ะปั้น”
“เออ พ่อก็ว่างั้นเหมือนกัน ก็ยังแปลกใจอยู่ว่าหลานสาวของเรา จะไปรู้จักกับคนระดับนั้นได้ยังไง”
“เกรซไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เกรซทราบแต่ว่าเขาเป็นนักร้องในผับที่เกรซไปเที่ยวแค่นั้นเอง”
“แค่นั้นแน่นะ” ปริญญามองน้องสาวอย่างค้นหา เพราะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างระหว่างธิญาดาและหนุ่มไฮโซรุ่นน้องคนนี้
“ค่ะ เกรซไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาเป็นใคร”
“ถ้าไม่รู้พี่ก็จะบอกให้ เขาคือคุณพีรดนย์ ชิษณุเวทย์ ทายาทคนเล็กของตระกูลชิษณุเวทย์ที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม แถมยังมีธุรกิจอีกหลายอย่าง พี่ตามไอจีเขาอยู่เพราะชอบดูซุปเปอร์คาร์ที่เขาสะสม พี่เคยอ่านบทสัมภาษณ์เหมือนกันว่าเขาชอบดนตรี แต่ไม่คิดว่าเขาจะรับจ๊อบเป็นนักร้องตามผับด้วย ว่าแต่ผับที่ไหนเหรอ”
“Six Sense ค่ะ”
“อ้อ งั้นก็ไม่แปลกหรอก เพราะนั่นเป็นผับของเพื่อนสนิทเขา ก็พวกไฮโซเหมือนกันนั่นแหละ”
“ดูพี่ปั้นรู้จักเขาดีจังเลยนะคะ”
“อ้าว ถึงพี่จะชอบอยู่ในครัว แต่เรื่องโลกภายนอกพี่ก็ไม่พลาดนะ พวกผู้ชายมันจะมีอะไรล่ะ นอกจากรถยนต์กับผู้หญิง บังเอิญว่าคุณดลเขาสะสมรถหรูและลงรูปในไอจีบ่อยๆ พี่เลยชอบเข้าไปดู เพราะแต่ละคันราคาแพงจนขนลุก คงไม่มีวาสนาซื้อมาขับ แค่ได้ดูก็เป็นบุญตาแล้ว แต่พี่ก็ยังแปลกใจอยู่ดีนะ”
“แปลกใจเรื่องอะไรคะ”
“แปลกใจที่เขาเจอเกรซแค่ผิวเผินแบบนั้น ทำไมถึงกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง แถมตัวเองยังต้องมาเจ็บตัวอีก คนระดับนั้นนะเกรซ เวลาเป็นเงินเป็นทองจะตาย แล้วแขนมาเจ็บแบบนี้ พี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะเสียผลประโยชน์ไปแค่ไหน” ธิญาคิดตามคำพูดของพี่ชายแล้วเริ่มรู้สึกผิด ที่ก่อนหน้านี้เธอปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใย เขามาหาถึงร้านเธอก็ไม่ออกไปพบ แถมยังไม่ตอบไลน์ที่เขาส่งมาหาอีก
“เอาเป็นว่าถ้าเกรซหายดีแล้วก็ไปขอบคุณเขานะลูก เขาเสี่ยงชีวิตขนาดนี้ ป้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณเขายังไงดีเลย”
“นั่นสิลูก ถ้าหายดีแล้ว เชิญเขากับครอบครัวมาทานอาหารที่ร้านเราดีไหม แล้วก็ให้คูปองส่วนลดตลอดชีพไปเลย เพราะสิ่งที่เขาทำมันมีค่ากับครอบครัวเรามากเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะรวยกว่าเรามากมาย แต่ป้าก็อยากให้อะไรตอบแทนเขาบ้าง”
“เรื่องนั้นเกรซขอคิดดูก่อนนะคะ แต่ยังไงเกรซต้องไปขอบคุณเขาแน่นอน ที่ช่วยชีวิตเกรซเอาไว”
“งั้นก็พักผ่อนเถอะลูก” กรองทองห่มผ้าให้หลานสาวที่เอนกายลงนอนบนเตียงคนไข้ ก่อนที่จะหันไปสั่งให้สองพ่อลูกกลับไปดูแลร้าน โดยนางอาสาเฝ้าหลานสาวเองในคืนนี้
วีกรรมของพีรดนย์รู้ถึงหูแก๊งเพื่อนๆ อย่างรวดเร็ว และวันนี้ที่ทุกคนนัดมารวมตัวกันที่ Six Sense ชายหนุ่มก็โดนแซวยับ
“ไงมึง ทุ่มทุนสร้างขนาดนี้ หวังว่าเขาจะใจอ่อนยอมคุยด้วยนะ” ต้นกล้าแซวเป็นคนแรก เมื่อพีรดนย์เดินเข้าห้องมาพร้อมเฝือกติดอยู่ที่แขน
“กูยอมใจมึงจริงๆ ไอ้ดล เพื่อผู้หญิงคนเดียวที่เจอกันครั้งสองครั้ง ถึงกับยอมเสี่ยงชีวิต กูว่าแบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วนะ” ศิระที่ปกติเป็นคนเงียบๆ ยังอดไม่ได้ที่จะออกความเห็น
“มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก พวกมึงก็พูดเกินไป พวกมึงอย่าไปฟังไอ้ก้องมันโม้มาก เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเป็นใครก็ต้องช่วยไหมวะ หรือพวกมึงจะไม่ช่วยถ้าเจอแบบกู”
“ไม่” ต้นกล้า ก้องเกียรติและศิระตอบพร้อมเพียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“โอ้โห ไอ้พวกคนใจดำ”
“พูดจริงๆ เลยนะไอ้ดล ถ้าเป็นคนที่กูรักอยู่ในนั้น กูคงบุกไปช่วยแบบที่มึงทำ แต่กูคงไม่ทำแบบนั้นกับคนที่กูเพิ่งเจอครั้งสองครั้งหรอก คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เขามากกว่า ครอบครัวก็ไม่ใช่ ทำไมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้นล่ะ”
“เออ กูเห็นด้วยกับไอ้โซ่นะ กูว่ากูได้กลิ่นทะแม่งๆ มึงชอบเขาใช่ไหมไอ้ดล ชอบมากเกินกว่าชอบที่แปลว่าอยากลากขึ้นเตียงอะ” ต้นกล้ายังไม่เลิกซักไซ้
“กูก็แค่อยากเอาชนะ เพราะไม่เคยมีใครปฏิเสธและเฉยชาใส่กูแบบนี้ มายั่วให้อยากแล้วจากไป กูรู้สึกเหมือนถูกหยามยังไงไม่รู้ กูต้องเป็นฝ่ายออกล่าสิวะ ไม่ใช่ถูกล่า”
“อ้อ ที่แท้ก็เสียเซลฟ์ที่โดนสาวเมิน”
“มึงต้องลองโดนสักครั้งแล้วจะเข้าใจความรู้สึกกู ไอ้โซ่”
“โทษทีที่ไม่เคยว่ะ”
“ครับ ไอ้เสือร้ายรูปหล่ออย่างมึงมีแต่เหยื่อเดินเข้าอุ้งเล็บให้ขย้ำไม่ขาดสาย มึงจะเข้าใจความรู้สึกกูได้ไง กูอยากได้อะไรแล้วต้องได้โว้ย”
“มึงพูดเหมือนตัวเองขี้เหร่ซะเต็มประดานะไอ้ดล แค่นี้สาวๆ ก็แทบจะกองอยู่แทบเท้าอยู่แล้ว มึงไม่ต้องค่อนขอดไอ้โซ่มันหรอก”
“แล้วคุณคนสวยของมึงเขาเป็นไงบ้าง” ก้องเกียรติถามอย่างห่วงใย ในฐานะเพื่อนมนุษย์และคนที่ประสบเหตุเหมือนกัน
“กูกำลังจะไปเยี่ยมเขาพรุ่งนี้”
“รีบทำคะแนนว่างั้น”
“เออ”
“กูถามหน่อยว่าถ้าคนที่ติดอยู่ข้างในเป็นไอ้ก้อง มึงจะเข้าไปช่วยมันไหม” ต้นกล้าถามอย่างเย้าแหย่
“ช่วยทำไม เจ้าหน้าที่กู้ภัยเยอะแยะ เดี๋ยวเขาก็ช่วยมันเองนั่นแหละ”
“โอ้โห ไอ้เพื่อนชั่ว รู้แบบนี้กูไม่ส่งข่าวให้รู้ก็ดีหรอก ว่ากูเจอคุณคนสวย ไม่อย่างนั้นมึงไม่ได้มีโอกาสสร้างภาพคนดีแบบนี้หรอก ทั้งที่จริงมึงจ้องจะเขมือบเขาทุกลมหายใจเข้าออก” คำตอบของพีรดนย์และคำเยินยอสรรเสริญเพื่อนรักจากก้องเกียริตเรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ ได้ในทันที
“แล้วแขนเดี้ยงแบบนี้ มึงจะขึ้นร้องเพลงหรือเปล่า” ศิระในฐานะเจ้าของผับเอ่ยถาม เพราะหากเพื่อนไม่สามารถทำการแสดงได้ เขาจะได้เตรียมจัดให้วงอื่นขึ้นเล่นแทน
“สภาพกูแบบนี้ หยุดไปก่อนแล้วกัน”
“แหม กลัวเรทติ้งตกล่ะสิมึง” ก้องเกียรตแกล้งแหย่
“แต่กูว่าอย่างไอ้ดลต่อให้มันแขนกุดทั้งสองข้างแล้วขึ้นร้อง สาวๆ ก็ยังกรี๊ดมันเหมือนเดิม”
“แหม ไอ้ต้น คบกันมาตั้งนานมึงเพิ่งพูดจาเข้าหูกูวันนี้ วันนี้เพื่อนต้นอยากดื่มอะไรจัดได้เลยครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
“ดีมากครับเพื่อนดล ถ้างั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ” หลังจากนั้นต้นกล้าก็เรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มแบบจัดเต็ม เรียกว่าเอาให้เมาชนิดกลับบ้านไม่ถูกไปเลย