ตอนที่ 18
หนอนบ่อนใส้
“ทิพย์!”
เสียงเรียกข้างกายดึงให้ ธารทิพย์ ตื่นจากนิทรา เปลือกตาคู่สวยของเธอกระพริบถี่ก่อนจะค่อยปรือตาขึ้น และรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่ที่ไหนกัน?”
“หือ ก็เพิงพักของเราไงใยเอ็งพูดแปลกๆ”
คะนิ้ง มองหน้าเธออย่างฉงน เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทางร้อนรนของสาวลำน้ำมูลที่เอ่ยถามแปลกๆ
“สายแล้วนะ เอ็งไม่สบายรึทิพย์?จะให้ตามหมอรึไม่”
รำพึง ชะโงกหน้าเข้ามาในเพิง นั่นทำให้ธารทิพย์รีบส่ายหน้าปฎิเสธอย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่าตนกลับมาอยู่ในภพเดิมก่อนหน้าที่จะฝันถึงพ่อกับแม่
แม้จะมีคำถามมากมายวนเวียนอยู่หัว แต่เธอก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วเรียวสวยด้วยความครุ่นคิด ไม่สามารถที่เล่าเรื่องราวมากมายเหล่านี้ให้กับทั้งสองสาวได้
ภาพของ แม่จำปา ยังคงตราตรึงอยู่ในโสตประสาท
พลันความคิดแวบนึงก็บังเกิดขึ้น...บางทีนายฮ้อยเพลิง อาจจะให้คำตอบเรื่องนี้กับเธอก็ได้
“นายฮ้อยไปที่ลานควายตั้งแต่เช้าแล้วละจ้ะทิพย์”
ไอ้เข้มบอกขณะกำลังจัดเก็บสัมภาระด้านใน เมื่อเธอชะโงกหน้าผ่านผ้าม่านเข้าไปในเพิง หญิงสาวจึงจำต้องถอยหลังออกมา และมองไปยังลานกว้างที่อยู่อีกฝั่ง เห็นนายฮ้อยและคนสนิทของเขาหลายคนนั่งอยู่คล้ายกำลังประชุมหรือทำอะไรสักอย่าง ขณะที่คนอื่นๆ ต่างทำหน้าที่ดูแลวัวควายให้กินน้ำริมตลิ่งและลัดเลาะกินหญ้าเขียวขจีริมฝั่ง
คาดว่าสายนี้คาดจะได้เคลื่อนทัพต่อ
...เช่นนั้นเธอกลับไปที่เพิงตัวเองแล้วเตรียมเก็บของดีกว่า
.
ลานควายตรงกลางวันนี้ มีตั่งไม้วางอยู่อย่างเรียบง่ายเพื่อใช้เป็นที่จัดการสำรับเช้าของ นายฮ้อยเพลิง และเหล่าคนสนิททั้งห้า
อันประกอบด้วย หมอสรวงที่เป็นหมอมอและหมอยาพื้นบ้าน หมอเขียวเป็นหมอยาแผนปัจจุบัน พรานสิงห์ พรานป่าผู้เชี่ยวชาญในการเดินป่าและดูแลสัตว์ ควานทอก ผู้เป็นทั้งหมอช้างและมีมนต์คาถาในการคุยกับสัตว์และว่ากันว่าถนัดในการใช้ไสยเวทย์เป็นอย่างยิ่ง และ ประทีป ผู้ที่ทำหน้าที่ในคล้ายล่ามในการประสานงานทั้งหน่วยงานของรัฐและทหารต่างๆ ด้วยสามารถสื่อสารได้ทั้งไทย ลาว ส่วยและภาษาต่างประเทศ
ทั้งห้าคนนี้ถือเป็นคนสำคัญของนายฮ้อยและทัพควาย
“วันนี้เราเคลื่อนทัพสายๆก็ได้ หลังตะวันขึ้นเลยต้นกระถินต้นนั้นถือเป็นฤกษ์งามยามดี”
ควานทอกเอ่ยขึ้น ด้วยการตั้งทัพและเคลื่อนย้ายทัพนั้นจะกระทำโดยสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้ ต้องมีการดูฤกษ์ยามและหยาดเหล้าบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ตาแฮกเสียก่อน
“ลาบกะปอมแซ่บหลาย ฝีมือล่าท่านพรานดอกรึ?”
หมอเขียวชมเบาๆขณะตักลาบหอมๆโรยด้วยข้าวคั่วให้กับ หมอสรวงผู้อาวุโสสุดในทัพ และพอทราบว่าเมื่อคืนพรานสิงห์ได้ออกล่าสัตว์ป่าเล็กๆน้อยๆมาทำอาหารเช้าอันโอชะในวันนี้
ทั้งหกจึงจัดการมื้อเช้าบนลานกว้างกันอย่างเอร็ดอร่อย
“นายฮ้อยเอิ้นข่อย มีหยังรึ?”
เหลือง ชายคนครัวผู้มีรูปร่างสะโอดสะโองมิต่างจากอิสตรี เอ่ยขึ้นเมื่อเดินมายังลานที่ทั้งหกกำลังกินมื้อเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย
นายฮ้อยเพลิงหรี่ตามองร่างของคนครัวที่ยืนห่างๆอย่างนอบน้อมนั้น และหลุบตาลงต่ำคล้ายกำลังสำรวจพิจารณา
“กินข้าวเสร็จแล้วรึเหลือง?”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“มีอะไรจะบอกกูรึไม่?”
คำถามของนายฮ้อยทำให้ เหลือง ชะงักเล็กน้อยและมองประมุขทับควายอย่างฉงน
“หมายถึงเรื่องหยังรึนายฮ้อย?”
เหลือง ถามกลับและชำเลืองมอง สมุนเอกทั้งห้าของนายฮ้อยที่ยังคงนั่งกินข้าวต่อคล้ายไม่ใส่ใจตนเท่าใดนัก ดั่งว่ามีเพียงนายฮ้อยกับเหลืองเท่านั้นที่อยู่ตรงลาน
“มึงเจ็บใข่มิใช่รึ? ไม่อยากให้หมอเขียวรักษาให้รึอย่างไร หากอักเสบและเรื้อรังถึงขั้นรุนแรงอาจจะต้องออกจากทัพควายได้เลยนะเพราะมึงรู้นิว่าคนป่วยหนักจะไม่สามารถร่วมทัพได้”
นายฮ้อยเอ่ยเสียงเข้ม จุ่มมือลงลงชามน้ำสะอาดเพื่อล้างมือและซับกับผ้าขาวม้าอย่างใจเย็น ดวงตาคมกริบยังคงมองร่างสะโอดสะโองของเหลืองไม่วางตา
“ทางแผนฝรั่งเอ่ยว่า อาการของโรคใส้เลื่อนจากพวงอัณฑะนั้นร้ายแรงนัก หากมิรีบรักษามึงอาจเป็นหมันได้เชียว”
หมอเขียวเอ่ยสมทบ ขณะจิ้มข้าวเหนียวลงยังลาบกะปอมแล้วยัดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ขะ ..ข้า”
เหลือง ย่อกายลงนั่งทรุดเข่าด้วยใบหน้าซีดเผือดและเหงื่อทั่วตัว ความเจ็บปวดรวดร้าวจากอัณฑะที่ถูกกระแทกด้วยหินจากหนังสติ๊กซ้ำๆจนเหมือนจะแตกออกจากกันแสนทรมานยิ่งกว่าโดนมีดหอกหรือกระสุนปืนยิ่งนัก
“ว่าไงเหลือง?”
นายฮ้อยเพลิง เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินมาใกล้ “มึงอย่าคิดว่าแค่ยิงหนังสติกใส่ใข่ในร่างสมิงของมึง จะไม่มีผลอันใดนะเพราะตัวตนร่างต้นของมึงก็แค่ปุถุชนธรรมดาจะยอมสารภาพกับกูดีๆรึไม่?”
ร่างหนาสาวถือดาบยาว และเท้ามาใกล้ นั่นทำให้เหลืองตาเบิกโพลงด้วยความตระหนก ด้วยการปลอมตัวเข้ามาในทัพควายนั้นถือเป็นโทษร้ายแรงยิ่ง หากไม่โดนขับออกจากทัพก็มักจะโดนประมุขของทัพฆ่าทิ้ง
“ขะ..ข้าย่านแล้วนายฮ้อย!!อย่าฆ่าข้าเลย!ข้าจะสารภาพทุกอย่าง ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ได้โปรด!!”
เหลืองเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นระริก และก้มลงกราบแทบเท้าของนายฮ้อยเพลิงอย่างหวาดกลัว
.
สำรับที่ลานถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้วหลัง นายฮ้อยเพลิงและสมุนเอกกินอิ่มหนำสำราญ บางคนต่างทยอยลุกไปธุระส่วนตัวของตน เหลือเพียงนายฮ้อยกับหมอสรวงและพรานสิงห์ ที่ยังคงนั่งพ่นยาสูบมองเหล่าคนงาน เอาวัวควายแต่ละฝูงกินน้ำท่าอยู่ไกลๆ
“โฮ่งๆ”
ไอ้เฒ่าหมาแสนรู้ของ พรานสิงห์ นั่งหมอบอยู่ใกล้ๆอย่างประจบประแจงเจ้านาย และแทะกินเศษอาหารแสนโอชะที่กองไว้ข้างๆอย่างเอร็ดอร่อย
“จะให้มันอยู่ในทัพต่อไปเช่นนั้นรึ? เชื่อใจได้เช่นไรว่าสิ่งที่มันเอ่ยมาเป็นความจริง”
พรานสิงห์เอ่ยขึ้นขณะพ่นควันออกมาเป็นสายยาวโขมง
“การฆ่าทิ้งมันง่ายนัก แต่หากเอามันมาใช้ประโยชน์ย่อมจักดีกว่า ข้าดูแล้วไอ้หมอนี่มันมีของดีในตัวแค่แฝงเข้ามาเพราะอดยากปากแห้งเท่านั้น ในภายหน้ามันจะช่วยเสริมทัพเราได้”
ประมุขควายตอบเสียงราบเรียบ ด้วยตระหนักดีว่าสมุนเอกทั้งห้านั้นเก่งสามารถก็จริง แต่เป็นสายขาวเสียส่วนใหญ่ การมีไสยเวทย์ดำมาร่วมด้วยนั้นจะสร้างความแข็งแกร่งได้มากขึ้น
น้ำที่ใสสะอาดเกินไป มักไม่มีปลา
“ภายหน้ามันจะช่วยท่านพรานได้ ตอนนี้ข้าจะให้มันมาเป็นลูกน้องของท่าน ยังไงข้าฝากด้วยก็แล้วกัน”
.
.
นายฮ้อยกลับมายังที่เพิงพักของตนอีกครั้ง และต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นร่างบางของหญิงลำน้ำมูลนั่งอยู่ด้านใน และเธอรีบเอ่ยถามทันทีที่เงยหน้ามาสบตากับเขา
“เมื่อคืนฉันฝันเห็นผู้หญิงชื่อจำปา นายฮ้อยรู้จักรึไม่?”
*******************