"นาน่าจะพาผมไปเล่นอะไรครับ" เด็กชายตัวน้อยเงยหน้ามองฉันอย่างตื่นเต้น ตอนนี้เราเดินออกมาจากแผนกกันแล้ว กำลังจะตรงไปชั้นโรงอาหารของพนักงาน สถานที่พักผ่อนชั่วคราวของพนักงานทุกคนโดยเฉพาะ เพราะฉันได้คิดกิจกรรมดี ๆ ที่จะมาเล่นกับเด็กคนนี้ไว้แล้ว
ตอนแรกฉันก็กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะอาสาเป็นหน่วยกล้าตายดูแลเขา เป็นถึงลูกท่านประธานเชียวนะ ถ้าฉันทำอะไรไม่ถูกใจจะไม่ถูกไล่ออกเหมือนรุ่นพี่ที่ทำงานเมื่อวานเหรอ แต่อีกใจฉันก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัวแฮะ สายตาที่ดื้อตาใสจ้องมองมาที่ฉัน การกระทำที่ออดอ้อนฉันปฏิเสธไม่ลงหรอก อย่างไรเสียก็ต้องทำหน้าที่ที่พี่ทั้งแผนกตั้งความหวังให้สำเร็จ
"เดี๋ยวไคเรนนั่งตรงนี้ก่อนนะ เดียวพี่มา" ว่าแล้วฉันก็ดันร่างเล็กให้นั่งที่โต๊ะกว้าง ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปหาหนังสือที่ใกล้วัยของเขามากที่สุดเท่าที่บริษัทจะมีให้
"พี่มาแล้ว" ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฉันก็กลับมาพร้อมกับหนังสือและกระดาษหลายแผ่น ทำเอาคนเห็นถึงกับขมวดคิ้วไม่ชอบใจขึ้นมา
"พี่เห็นเราปิดเทอมอยู่ งั้นเรามาหากิจกรรมสร้างเสริม IQ ก่อนเปิดเทอมดีไหม"
"แต่หนังสือพวกนั้นผมเคยอ่านหมดแล้ว" ฉันชะงักมองคนเพิ่งพูดจบ หนังสือที่ฉันพกมาด้วยล้วนแต่เป็นหนังสือที่เอาไว้สำหรับวัยฉันที่เป็นพนักงานทั้งนั้น เพราะมันไม่มีหนังสือสำหรับวัยเด็กแบบเขาฉันจึงตั้งใจจะเอามาให้เขาวาดภาพจากรูปที่เห็น แต่กลับเจออะไรที่ต้องอึ้งกว่าเดิม เด็กสี่ขวบจำเป็นต้องไปไกลถึงขนาดนี้แล้วหรือไงกัน
"ไคเรนเคยอ่านแล้วเหรอ?"
"แด๊ดชอบเอาหนังสือในห้องแด๊ดมาให้อ่าน" ให้ตายเถอะ...ฉันต้องอึ้งกับความเก่งของเด็ก หรืออึ้งกับวิธีการเลี้ยงลูกของท่านประธานดี ตัวแค่นี้หัดให้ศึกษาเรื่องธุรกิจแล้วหรือไงกัน ไม่น่าวงตระกูลถึงได้ผลิตคนเก่งมาบริหารธุรกิจได้ เคล็ดลับของมหาเศรษฐีที่ทำกันสินะ
"ถ้างั้นเรามาวาดรูปกันดีไหม?" เด็กชายส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย เอาแล้วสิยัยนานะ ปกติก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กที่ฉลาดขนาดนี้มาก่อน ลำพังบรรดาน้อง ๆ ของฉันแค่ให้เขียนตามคำที่ฉันบอกก็ตื่นเต้นกันแย่แล้ว
"นาน่านึกออกแล้ว สิ่งนี้ไคเรนไม่เคยทำแน่นอน" ฉันมองเด็กน้อยตาเป็นประกาย ทำเอาคนมองตามเริ่มมีความตื่นเต้นตามมาด้วย
ผ่านไปหลายนาที...
ฮ้าฟ...ฟู้วววว
"เย้!!!" ไคเรนกระโดดโลดเต้นยกใหญ่ ในที่สุดเขาก็เอาชนะฉันได้เสียที หลังจากที่เราวัดพลังปอดกันมาหลายต่อหลายครั้ง เด็กชายก็เอาชนะฉันได้ดีใจวิ่งวนรอบโต๊ะยกใหญ่ นี่สิความไร้เดียงสาของเด็ก เป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุดเพราะรอยยิ้มพวกนั้นมันทำให้ฉันยิ้มตามไปด้วย
"นาน่าออมมือให้หรอกน่า" ฉันขิงเด็กน้อยขึ้นมา ก่อนที่เขาจะหยุดวิ่งแล้วเดินมาหาฉัน
"ไม่จริงครับ นาน่าสู้พลังผมไม่ได้ ผมปอดใหญ่ รถแข่งของผมวิ่งไกลกว่านาน่า" อย่างที่ได้ยินกัน...สิ่งที่พวกเรากำลังเล่นคือรถกระดาษที่ประดิษฐ์จากกระดาษเหลือใช้ พับเอง เป่าเอง แข่งกันเองสองคน โดยมีกติกาคือใครเป่าได้ไกลกว่ากันคนนั้นก็ชนะไป ไม่คิดว่าไคเรนจะสนุกกับมันถึงขนาดนี้ แน่สิเด็กบ้านรวยแบบเขาคงไม่เคยเล่นอะไรพวกนี้ แต่สำหรับเด็กจน ๆ แบบฉันรถแข่งกระดาษนี่แหละที่ทดแทนโมเดลแพง ๆ ของคนรวยได้เลย
"ก็ได้ นาน่าแพ้ก็ได้ เพราะนาน่าไม่มีแรงจะเป่าแล้ว นาน่าอ่อนแอ" ฉันแสดงทีท่าหมดพลังให้เขาเห็น
"ไม่เป็นไรนะครับ ผมจะดูแลนาน่าเอง" ก่อนที่เด็กชายจะเดินมากอดแล้วลูบหลังฉันไปด้วย
"ขอบคุณนะคะ ไคเรนเป็นเด็กดีจังเลย" ตัวแค่นี้หัดเป็นห่วงคนอื่นเป็นแล้ว ไม่เห็นจะดื้อสมคำร่ำลือตามข่าวที่กระฉ่อนทั่วบริษัทเลย ไคเรนออกจะเลี้ยงง่ายด้วยซ้ำ ทำไมคนอื่นถึงไม่คิดแบบฉันนะ
"ผมเป็นเด็กดีแล้ว นาน่าจะเล่นกับผมทุกวันใช่ไหมครับ" ร่างเล็กผละจากกอดของฉัน จ้องถามฉันด้วยสีหน้าจริงจัง
"นาน่าก็อยากจะเล่นกับไคเรนทุกวันนะ แต่นาน่าต้องทำงาน นาน่าให้คนอื่นทำงานให้ทุกวันไม่ได้หรอก ไคเรนต้องเข้าใจนาน่าด้วยนะคะ"
"ถ้างั้นเสร็จงานนาน่ามาเล่นกับผมได้ไหม"
"เราต้องแยกย้ายกันกลับบ้านกันแล้ว อีกอย่างแด๊ดไคเรนเป็นเจ้านายนาน่า นาน่าต้องตายแน่ ๆ ถ้าไปบ้านไคเรน"
"แต่ผมอยากเล่นกับนาน่า" เด็กน้อยก็ยังเศร้าไม่หยุด ดูท่าแล้วเขาคงจะเหงาจริง ๆ เพราะดวงตาเล็กนั้นแสดงความหม่นหมองและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด พ่อกับแม่คงทำแต่งานสินะ ลูกคนรวยแบบเขาก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่แค่กับพี่เลี้ยง เจอหน้าพ่อกับแม่นาน ๆ ครั้ง
"นาน่าเลี้ยงไอติมเป็นการปลอบใจดีกว่า ไคเรนจะได้หายเศร้าดีไหม?" เท่านั้นแหละเด็กชายมองฉันตาประกายลืมความเศร้าไปชั่วขณะ แต่ผ่านไปไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ดวงตาคู่นั้นก็เศร้าลงอีกครั้งทำเอาฉันงุนงง
"แด๊ดไม่ให้ผมกิน แด๊ดบอกว่ามันไม่มีประโยชน์" แค่ไอศกรีมก็ยังห้ามเหรอ...เป็นพ่อประสาอะไรเนี่ย นิดๆ หน่อย ๆ ไม่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงหรอก
"ไคเรนมองรอบ ๆ สิ ไม่เห็นจะมีแด๊ดของไคเรนเลย มีแค่เราสองคน ถ้าไคเรนไม่พูด นาน่าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ จริงไหม" เพียงเท่านั้นไคเรนก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ของหวานเยียวยาได้ทุกสิ่งท่านประธานคงจะเข้าใจนั้นแหละ ก็ไม่ได้กินทุกวันเสียหน่อย คิดได้ดังนั้นเราสองคนก็ตรงดิ่งไปซื้อในทันที นอกจากจะได้ไอศกรีมแล้วเราสองคนก็ยังได้ขนมกรุบกรอบหลายอย่างติดมือมาด้วย อาหารอันโอชะที่ฉันเต็มใจนำเสนอ นั่งทานกันที่เดิมเพียงสองคนมีความสุขทั้งฉันและเด็กน้อยเลย
"อร่อยไหมไคเรน"
"อร่อยครับ" เด็กชายที่เปื้อนปากด้วยไอศกรีมช็อกโกแลตหันมาตอบ เห็นแบบนี้แล้วฉันก็พลอยหายห่วงไปนิดหนึ่ง อย่างน้อยช่วยอะไรเขามากไม่ได้ แต่ปลอบใจแค่นี้ก็น่าจะทำให้เขาหายเศร้าได้ชั่วคราว
"กินขนมด้วยไหม พี่แกะให้นะ"
"ครับ" ขนมในซองสองสามห่อถูกฉันแกะวางเรียงไว้บนโต๊ะ ฉันได้แต่นั่งมองเด็กชายทานอย่างเอร็ดอร่อย ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพ่อเขามาเห็นลูกตัวเองในสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ฉันคงต้องถูกระเห็จออกจากบริษัทพ้นสภาพการฝึกงานแน่นอน แต่ก็อย่างที่บอกไป ถ้าฉันไม่พูด ไคเรนไม่พูด ท่านประธานจะไปรู้ได้ยังไง
จริงไหม...
"อร่อยหรือเปล่าไคเรน" เสียงโทนต่ำที่ดังขึ้นจากด้านหลังเย็นยะเยือกวิ่งผ่านหูของฉัน เสียงคุ้น ๆ เหมือนฉันเคยฟังเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจมากนักจึงปรายสายตามองพร้อมกับไคเรนที่นั่งตรงหน้า เด็กชายพึมพำเรียกชื่อคนมาใหม่เบา ๆ ทันทีที่ฉันได้สบสายตาคู่นั้นคำตอบมันก็เริ่มชัดเจนยิ่งกว่าฟูลเอชดีทันที
"ท่านประธาน!!"
RIP แด่ชีวิตยัยนานะคนนี้...