ตอนนี้ทำไปทำมา กลายเป็นเขาที่กระดกน้ำเมาเหมือนอกหักรักคุดซะเอง
“ถามอารายหน่อยสิ” พิชชาเอามือข้างหนึ่งท้าวศีรษะ จ้องมองไปที่ชายหนุ่มตาหวานเยิ้ม
“เดี๋ยว หยุด ก่อนจะถาม ฉันต้องบอกเรื่องนึงให้เธอรู้ก่อน” แม้ว่าเขาจะขึ้นชื่อเรื่องคอแข็ง แต่ฤทธิ์ของเตกีล่านับสิบแก้วก็ส่งผลให้สติสัมปชัญญะของเขาลดน้อยลง จนนึกอยากพูดเรื่องที่ไม่เคยพูดมาก่อน
“บอกอาราย” หญิงสาวปรือตาขึ้นมามอง รอฟังด้วยความตั้งใจ ในขณะที่จังหวะเพลงหนัก ๆ เร้าอารมณ์ในช่วงแรกเปลี่ยนเป็นจังหวะฟังสบาย ๆ แทน
“ความจริงพี่อยากให้เธอเรียกอีกชื่อมากกว่า”
“ชื่อราย?”
“เจียเอ๋อร์ หวัง…เจียเอ๋อร์” เขาพูดช้า ๆ ชัด ๆ หมายให้เธอได้ยินเต็มสองหู
ถ้าไม่ใช่เพราะพิชชาเริ่มเมาบ้างแล้ว และพรุ่งนี้เช้าคาดว่าตื่นขึ้นมาเธอก็คงจะลืมเลือนไปจนหมด ก็ไม่มีทางที่เขาจะพูดหรอก
ไม่กี่คนที่จะรู้ว่าเขามีเชื้อสายจีนเพราะเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้
เจียเอ๋อร์ เป็นชื่อที่บิดาของเขาตั้งให้ตั้งแต่กำเกิด
ส่วน หวัง ก็คือ แซ่ที่บิดาของเขาใช้
เขาคงจะยินดี ภาคภูมิใจและใช้ชื่อนี้ในสังคม หากว่าบิดาของเขาไม่ด่วนเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
“ชื่ออะไรเรียกยากจัง แต่ทำไมฟินน์รู้สึกคุ้น ๆ อ่ะ เหมือนเคยได้ยินที่หนายน้า” หญิงสาวทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง
“ทำไมชื่อพี่ธนาเหมือนชื่อแจ็คสัน หวังเลย” พิชชาชี้นิ้วมือไปที่เขาด้วยสายตาจับผิด
แจ็คสัน หวัง เป็นนักร้องที่เธอชื่นชอบและคลั่งไคล้ หน้าเหมือนปลาดุกชนเขื่อนอย่างเขา ควรไปเปลี่ยนชื่อบัดเดี๋ยวนี้
“จะไปรู้เหรอ” เขาชื่นชมหน้าตาและความสามารถของนักร้องคนนี้ก็จริง แต่ที่มาของชื่อก็ไม่เกี่ยวข้องกับโรคบ้าดาราของเธออย่างแน่นอน
“อย่าให้รู้แล้วกัน ว่าที่อยากใช้ชื่อนี้เพราะรู้ว่าฟินน์ชอบพี่แจ็ค”
“เลอะเทอะ กลับได้แล้ว พรุ่งนี้เธอยังต้องไปฝึกงาน” สายตาของเขายามนี้ไม่ต่างจากบิดาบังเกิดเกล้าสักเท่าไหร่นัก
“ชิ! กลับก็ได้” พอร่างเล็กลุกห่างออกไปไม่ถึงคืบ ก็ล้มลงไปที่หน้าขาของชายหนุ่ม เตกีล่ากระฉอกหกรดชุดสวยที่เธอสวมและอกเสื้อของเขา ใบหน้าหญิงสาวซุกลงที่ข้างลำคอแข็งแรงเมื่อรู้ว่าตัวเองทรงกายไม่ไหว
“โทษที เมื่อกี้ฟินน์สะดุดขาเก้าอี้อ่ะ” เสียงอู้อี้ดังขึ้นที่ซอกคอของชายหนุ่ม
ริมฝีปากที่เจือไปด้วยรสร้อนแรงของเหล้าขบลงที่ผิวเนื้อข้างลำคอของเขา มือเล็กวางทาบที่กล้ามอกนูนแน่น ก่อนจะแทรกสอดเข้าไปข้างในแล้วลูบขึ้นลูบลง
ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อเหมือนเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว มือกำแก้วคริสตัลแน่นเข้า ไม่กล้าขยับเขยื้อนหรือแม้แต่หายใจออกมา กลัวว่าจะถูกยัยขี้เมาลวนลามไปมากกว่านี้
ทว่าท่อนเนื้ออวบใหญ่ขรุขระไปด้วยเส้นเอ็นที่หว่างขาของเขามันกำลังมีปฏิกิริยาตอบโต้ อยากดุนดันออกมาจากเนื้อผ้าเต็มแก่
เม็ดเหงื่อจำนวนมหาศาลผุดขึ้นที่หน้าผาก กระทั่งปลายหูทั้งสองของคุณหมอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู
"อยู่นิ่ง ๆ หน่อยได้ไหม" เขาส่งเสียงดุออกมา ลำคอแห้งผาก จ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโต
ถ้อยคำของเขาเหมือนกำลังไม่พอใจเธอเป็นอย่างมาก หากแต่ข้างในกายกลับร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ
"นิ่งอาราย ฟินน์ไม่ได้ทำอารายสักหน่อยย" พิชชาสวนทันควัน สองแก้มเนียนใสเห่อร้อนด้วยพิษของแอลกอฮอล์
ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอาการ 'เมาแล้วเลื้อย' ของตัวเองกำลังทำให้ใครบางคนทุกข์ทรมานอย่างหนัก
“ทำไมฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังขาดทุน” ธนาถูกความรู้สึกหงุดหงิดเข้าจู่โจม
ลองเป็นผู้หญิงคนอื่นนั่งอยู่บนตักของเขาแบบนี้ แถมมือไม้ยังอยู่ไม่เป็นสุข คงมีการคิดค่าเสียหายไปแล้ว
แต่พอเจ้าของเนื้อตัวนุ่มนิ่มเป็นพิชชา เขาก็ต้องหักห้ามใจ ไม่คิดฉวยโอกาสกับน้องสาวของเพื่อน
“ขาดทุนอะไร” เจ้าของร่างบางที่ยังนั่งอยู่บนหน้าขาแน่นหนั่นไปด้วยกล้ามเนื้อส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ
หากแต่เขาไม่ได้คิดจะตอบคำถาม มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าสมควรที่เขาจะต้องพาเธอกลับจึงจัดการเช็กบิล
“ช่างเถอะ กลับได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปฝึกงานไม่ใช่เหรอ”
“อือ แต่ตอนนี้ฟินน์เดินไม่ไหวอ่ะ” แม้ว่าเธอแทบจะไม่ได้ขยับตัว แต่เรียวปากอิ่มชุ่มชื้นก็อยู่ห่างจากริมฝีปากของเขาเพียงลมหายใจกั้นตรงกลาง
ดังนั้นตอนที่ชายหนุ่มจะอ้าปากพูดในแต่ละครั้ง จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง
เกิดพลาดพลั้งปากชนกันเข้า ได้มองหน้ากันไม่ติดพอดี
ชายหนุ่มถอนหายใจพรืดหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าค่อนไปทางรำคาญ
“แล้วจะกลับยังไง”
“ก็ อุ้มฟินน์ปายที่รถสิ” เธอกระซิบชิดริมหู สองแขนกลมกลึงโอบล้อมรอบคอชายหนุ่ม ทั้งที่รู้ล่วงหน้า ไม่พ้นที่พิชชาจะทำตัวเป็นภาระ แต่ข้างในกลับรู้สึกร้อน ๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ทำมาย อย่าบอกนะว่าพี่ธนาอุ้มฟินน์ม่ายหวาย” เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อศัลยแพทย์หนุ่มถูกผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งดูแคลนร่างกายที่กำยำของตนเอง จึงจับคนปากดีขึ้นพาดบ่าด้วยแขนเพียงข้างเดียว
จะได้รู้ว่าเขาแข็งแรงมากแค่ไหน โดยเฉพาะร่างกายส่วนนั้น มันทั้งแข็งทั้งแกร่งอย่างที่เธอคงคาดไม่ถึง